คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 14397/2555

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เช็คพิพาทเป็นเช็คที่มีการเปิดบัญชีไว้กับธนาคารในนามของ ณ. จำเลยได้สั่งจ่ายเช็คเบิกเงินจากบัญชีดังกล่าว เมื่อโจทก์ร่วมนำไปเรียกเก็บเงินและธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน ถือว่าจำเลยออกเช็คโดยเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คนั้น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 มาตรา 4 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา นายเอกชัย ผู้เสียหาย ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ โดยอธิบดีอัยการฝ่ายคดีศาลสูงเขต 5 ซึ่งอัยการสูงสุดได้มอบหมายรับรองให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 มาตรา 4 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 จำคุกกระทงละ 1 เดือน รวม 2 กระทง เป็นจำคุก 2 เดือน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ร่วมให้จำเลยกู้ยืมเงิน แล้วจำเลยออกเช็คพิพาทเพื่อชำระหนี้อันเป็นหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย โดยเช็คพิพาทดังกล่าวเป็นเช็คที่มีการเปิดบัญชีไว้กับธนาคารในนามของนายณัฎฐวุฒิและจำเลยไม่สามารถออกเช็คเบิกเงินจากบัญชีดังกล่าวได้ เมื่อโจทก์ร่วมนำไปเรียกเก็บเงินและธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน จึงถือว่าจำเลยมีเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คนั้น การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตามฟ้อง ส่วนที่จำเลยฎีกาอ้างว่าโจทก์ร่วมและนางกมลพรเบิกความขัดกันหลายประการในเรื่องขณะจำเลยและนางมนันยามาพบโจทก์ร่วมที่บ้านนางกมลพรอยู่ด้วยหรือไม่นั้น เห็นว่า พยานโจทก์มิได้เบิกความแตกต่างกันแต่อย่างใด ส่วนเรื่องจำเลยรู้จักบ้านของโจทก์ร่วมหรือไม่นั้น เห็นว่า ข้อแตกต่างดังกล่าวเป็นเพียงรายละเอียด ไม่เป็นสาระสำคัญถึงกับทำให้น้ำหนักคำพยานของโจทก์และโจทก์ร่วมลดน้อยลงจนรับฟังไม่ได้แต่อย่างใด สำหรับที่จำเลยฎีกาอ้างว่าโจทก์อุทธรณ์ขัดกฎหมายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 ทวิ ต้องห้ามอุทธรณ์ คดีถึงที่สุดแล้วจำเลยได้คัดค้านในคำแก้อุทธรณ์ของจำเลยในข้อ 2 แล้วศาลอุทธรณ์ภาค 5 มิได้หยิบยกขึ้นวินิจฉัยนั้น เห็นว่า จำเลยยื่นคำแก้อุทธรณ์เมื่อพ้นกำหนดแล้ว ศาลจึงไม่รับคำแก้อุทธรณ์ดังกล่าวของจำเลย ดังนั้นการที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 มิได้หยิบยกปัญหาดังกล่าวของจำเลยขึ้นวินิจฉัยจึงชอบแล้ว ส่วนข้อที่จำเลยฎีกาขอให้รอการลงโทษนั้น เห็นว่า จำเลยมิได้ชำระหนี้แก่โจทก์ร่วมเลย จึงไม่มีการบรรเทาผลร้ายแห่งการกระทำผิด ประกอบกับเมื่อพิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีแล้ว ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 ใช้ดุลพินิจกำหนดโทษจำคุกโดยไม่รอการลงโทษให้จำเลยนั้นเหมาะสมแล้ว ไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะเปลี่ยนแปลงแก้ไข ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share