คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6535/2556

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การพิจารณาว่าคำฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่นั้นจำต้องพิจารณาแต่เพียงเฉพาะข้อความที่ปรากฏตามที่โจทก์บรรยายมาในคำฟ้องเท่านั้น ไม่จำต้องพิจารณาถึงพยานหลักฐานที่นำสืบในชั้นพิจารณามาประกอบ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินจำนวน 1,478,100 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 1,367,029 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ขาดนัด ศาลพิจารณาชี้ขาดตัดสินคดีโจทก์ไปฝ่ายเดียวสำหรับจำเลยที่ 1
จำเลยที่ 2 ให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 1,355,748 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2548 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ดอกเบี้ยถึงวันฟ้อง (วันที่ 26 กรกฎาคม 2549) ให้ไม่เกิน 111,071 บาท หากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระหรือชำระไม่ครบถ้วนให้จำเลยที่ 2 ชำระหนี้แทนจนครบ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาตามอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 แต่เพียงว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ โดยจำเลยที่ 2 อุทธรณ์ว่า ฟ้องโจทก์ไม่ได้ระบุรายละเอียดเกี่ยวกับจำนวนครั้งที่จำเลยที่ 1 ยักยอกเงินไปว่ามีกี่ครั้ง ครั้งละจำนวนเท่าใด รวมทั้งวันเวลาและสถานที่ที่จำเลยที่ 1 ยักยอกเงินไปและในชั้นพิจารณาคดีโจทก์ก็ไม่ได้นำสืบให้แจ้งชัดว่าจำเลยที่ 1 ยักยอกเงินจากลูกค้ารายใดไปเมื่อวันที่เท่าใด และไม่ได้แสดงหลักฐานการยักยอกเป็นรายๆ ไป เห็นว่า การพิจารณาว่าคำฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่นั้นจำต้องพิจารณาแต่เพียงเฉพาะข้อความที่ปรากฎตามที่โจทก์บรรยายมาในคำฟ้องเท่านั้น โดยมิพักจำต้องพิจารณาถึงพยานหลักฐานที่นำสืบในชั้นพิจารณามาประกอบเข้าด้วยกันแต่อย่างใดไม่ เมื่อพิเคราะห์ฟ้องโจทก์ที่บรรยายสรุปได้ความว่าเมื่อระหว่างเดือนมีนาคมถึงเดือนเมษายน 2548 จำเลยที่ 1 ลูกจ้างโจทก์นำสินค้าไปส่งและรับเงินค่าสินค้ามาจากลูกค้าหลายครั้ง รวมเป็นเงิน 1,367,029 บาท แต่จำเลยที่ 1 กลับเบียดบังยักยอกเอาเงินดังกล่าวที่จะต้องส่งมอบให้แก่โจทก์ไปเป็นประโยชน์ส่วนตัว จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ค้ำประกันการทำงานของจำเลยที่ 1 ต้องร่วมรับผิดด้วย จึงขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินพร้อมด้วยดอกเบี้ยแก่โจทก์ ดังนั้นคำฟ้องดังกล่าวจึงแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นแล้วตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสอง ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 31 สำหรับข้อเท็จจริงตามที่จำเลยที่ 2 ยกขึ้นอ้างมาในอุทธรณ์นั้นเป็นแต่เพียงรายละเอียดของพฤติการณ์แห่งคดีที่โจทก์สามารถนำสืบได้ในชั้นพิจารณา ที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุมศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share