คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6747/2560

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ขณะเกิดเหตุโจทก์ที่ 1 เป็นรองหัวหน้าพรรค ป. และเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มีโจทก์ที่ 2 เป็นภริยา ส่วนจำเลยที่ 3 และที่ 4 เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสังกัดพรรค พ. ซึ่งเป็นฝ่ายค้านในขณะนั้น จำเลยที่ 3 และที่ 4 ตรวจสอบพบว่า บริษัท ก. มีหลักเกณฑ์การปรับระดับชั้นที่นั่งโดยสารอยู่ 2 หลักเกณฑ์ คือ กรณีที่หนึ่งต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่บริษัทฯ กำหนดไว้ และอีกกรณีหนึ่งเป็นกรณีนอกหลักเกณฑ์ที่บริษัทฯ กำหนดไว้เป็นกรณีพิเศษว่าพนักงานระดับใดมีอำนาจอนุมัติและจะอนุมัติได้ในกรณีใดบ้าง จำเลยที่ 3 และที่ 4 ตรวจสอบหลักฐานการเดินทางของโจทก์ทั้งสองและครอบครัวรวม 14 เที่ยวบิน มีการปรับระดับชั้นที่นั่งบัตรโดยสารของโจทก์ที่ 2 โดยใช้สิทธิบัตรทองอาร์โอพีคลับโกลด์ ซึ่งเป็นไปตามหลักเกณฑ์ในกรณีที่หนึ่งเพียงรายการเดียว รายการอื่นๆ นอกนั้นล้วนเป็นการปรับชั้นที่นั่งให้สูงขึ้นแบบนอกหลักเกณฑ์ โดยบางรายการมีการระบุผู้อนุมัติพร้อมเหตุผล แต่อีกหลายรายการระบุเพียงตัวผู้อนุมัติเท่านั้น แต่มิได้ระบุเหตุผล บางรายการอนุมัติด้วยวาจา บางรายการมิได้ระบุว่าอนุมัติด้วยวาจาหรือเป็นลายลักษณ์อักษร พฤติการณ์แห่งคดีจึงมีข้อเคลือบแคลงสงสัยว่า การอนุมัติปรับชั้นที่นั่งให้สูงขึ้นแก่โจทก์ทั้งสองและครอบครัวดำเนินการโดยถูกต้องตามหลักเกณฑ์ของบริษัทฯ หรือไม่ บริษัท ก. มีกระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ การเลือกกรรมการบริษัทฯ กระทำโดยที่ประชุมผู้ถือหุ้นเป็นผู้ลงคะแนนเลือก โดยก่อนที่จะนำรายชื่อของคณะกรรมการให้ที่ประชุมผู้ถือหุ้นลงคะแนนนั้น จะต้องมีการเสนอรายชื่อดังกล่าวให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ สังกัดกระทรวงการคลังพิจารณาก่อน โดยสถานะและตำแหน่งกับอำนาจหน้าที่ของโจทก์ที่ 1 ซึ่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังดังกล่าว เมื่อพิจารณาประกอบอัตราค่าโดยสารในแต่ละชั้นที่นั่ง เช่น สำหรับการเดินทางจากกรุงเทพมหานครไปกรุงลอนดอนประเทศอังกฤษ บัตรโดยสารชั้นประหยัดราคา 34,745 บาท ชั้นธุรกิจ ราคา 150,765 บาท และชั้นหนึ่ง ราคา 228,200 บาท ประโยชน์ที่โจทก์ทั้งสองกับครอบครัวได้รับจากการปรับระดับชั้นที่นั่งโดยสารให้สูงขึ้นรวม 14 เที่ยวบิน จึงอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้มิใช่จำนวนเล็กน้อย แม้ไม่ปรากฏหลักฐานว่าโจทก์ที่ 1 ใช้อภิสิทธิ์ใดๆ ในการเลื่อนชั้นบัตรที่นั่งโดยสารก็ตาม แต่โจทก์ที่ 1 ดำรงตำแหน่งทางการเมืองระดับสูงถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มีหน้าที่ทั้งโดยตรงและโดยอ้อมที่จะต้องดูแลผลประโยชน์ของแผ่นดิน แม้พนักงานผู้มีอำนาจของบริษัทฯ จะพิจารณาอนุมัติเองโดยโจทก์ที่ 1 มิได้ร้องขอ โจทก์ที่ 1 เองก็ควรจะตระหนักรู้และอาจใช้วิจารณญาณได้ว่าสมควรที่โจทก์ที่ 1 จะรับหรือปฏิเสธประโยชน์ที่จะได้รับจากการอนุมัติปรับเลื่อนชั้นที่นั่งโดยสารรวม 14 เที่ยวบิน ซึ่งอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้มิใช่น้อยเช่นนั้น ดังนั้น การที่จำเลยที่ 3 และที่ 4 ร่วมกันแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนใส่ความโจทก์ทั้งสองว่า ในการเลื่อนชั้นที่นั่งโดยสารของโจทก์ทั้งสองและครอบครัวอาจทำได้ในสองลักษณะ คือ 1 โจทก์ที่ 1 อาจใช้อำนาจและอภิสิทธิ์ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสั่งให้พนักงานที่มีอำนาจดำเนินการอนุมัติให้เลื่อนชั้นบัตรโดยสารเป็นชั้นหนึ่งโดยไม่มีการจ่ายค่าโดยสารเพิ่มทั้งอาจมีการสั่งให้เลื่อนชั้นการเดินทางของบุตรจากชั้นประหยัดเป็นชั้นธุรกิจด้วย และ 2 ผู้มีอำนาจในการอนุมัติทำการเลื่อนชั้นบัตรโดยสารให้โจทก์ที่ 1 กับครอบครัวเพื่อแลกผลประโยชน์หรือความก้าวหน้าของตน หรืออาจมีผู้มีอำนาจเหนือกว่าเป็นผู้สั่งการ จึงเป็นการตั้งข้อสังเกตที่จำเลยที่ 3 และที่ 4 ในฐานะสมาชิกสภาผู้แทน พรรค พ. ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านอยู่ในขณะนั้น เมื่อตรวจสอบพบหลักฐานความไม่ชอบมาพากลของโจทก์ที่ 1 ซึ่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ย่อมชอบที่จำเลยที่ 3 และที่ 4 จะแสดงความคิดเห็นเพื่อติชมด้วยความเป็นธรรมซึ่งบุคคลหรือสิ่งใดอันเป็นวิสัยของประชาชนย่อมกระทำได้ การกระทำของจำเลยที่ 3 และที่ 4 จึงไม่เป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 329 (3)
หลักการสำคัญของการดำเนินคดีอาญาว่า แม้เป็นกรณีที่กฎหมายบัญญัติยกเว้นความผิดให้แก่จำเลยก็ตาม โจทก์ก็ยังคงมีหน้าที่นำสืบให้เห็นว่าการกระทำของจำเลยไม่เข้าข้อยกเว้นความผิดเช่นนั้น หาใช่ว่าในกรณีที่จำเลยได้รับยกเว้นความผิดเช่นนั้นแล้วหน้าที่นำสืบจะตกอยู่แก่จำเลยไม่
สาระสำคัญของบทยกเว้นความผิดฐานหมิ่นประมาทตาม ป.อ. มาตรา 329 (3) นั้น อยู่ที่ว่า เป็นการติชมด้วยความเป็นธรรมซึ่งบุคคลหรือสิ่งใดอันเป็นวิสัยของประชาชนย่อมกระทำ ดังนั้น หากความเห็นหรือข้อความที่แสดงเพื่อใส่ความผู้อื่นนั้น ต้องด้วยสาระสำคัญของข้อยกเว้นความผิดดังกล่าวและไม่ว่าผู้ใส่ความจะแสดงความคิดเห็นหรือข้อความด้วยวิธีการอย่างไร ก็เป็นสิทธิอันชอบธรรมที่จะกระทำได้ แม้จำเลยที่ 3 และที่ 4 จะเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งมีอำนาจหน้าที่และมีสิทธิที่จะใช้ช่องทางตามรัฐธรรมนูญที่กำหนดสิทธิการตรวจสอบเอาไว้คือ การยื่นกระทู้ถาม กระทู้สด เปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ หรือยื่นถอดถอนรัฐมนตรีได้ แต่จำเลยที่ 3 และที่ 4 กลับใช้สิทธิการตั้งโต๊ะแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนก็เป็นสิทธิอันชอบธรรมที่กระทำได้ตามมาตรา 329 (3) ดังกล่าวข้างต้น

ย่อยาว

โจทก์ทั้งสองฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 84, 86, 91, 326, 328 และให้บังคับจำเลยทั้งสี่ร่วมกันหรือแทนกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ทั้งสองรวมเป็นเงิน 100,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
ศาลชั้นต้นตรวจรับคำฟ้องแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์ทั้งสอง สำหรับจำเลยที่ 1 และที่ 2 และไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่า คดีโจทก์สำหรับจำเลยที่ 3 และที่ 4 ไม่มีมูล พิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ประทับฟ้องคดีในส่วนอาญา และให้รับคำฟ้องคดีในส่วนแพ่งสำหรับจำเลยที่ 3 และที่ 4 ไว้พิจารณา และให้ศาลชั้นต้นดำเนินการต่อไป
จำเลยที่ 3 และที่ 4 ให้การปฏิเสธ และให้การปฏิเสธในคดีส่วนแพ่ง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ทั้งสองฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งลงชื่อในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์อนุญาตให้ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีของโจทก์ทั้งสองเกี่ยวกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 นั้น ในชั้นตรวจรับคำฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์ทั้งสองยื่นอุทธรณ์เกินกำหนดระยะเวลาอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับอุทธรณ์ โจทก์ทั้งสองมิได้ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 198 ทวิ คดีของโจทก์ทั้งสองเกี่ยวกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ทั้งคดีส่วนแพ่งและคดีอาญา เป็นยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น คดีมีปัญหาขึ้นมาสู่ศาลฎีกาตามฎีกาของโจทก์ทั้งสองเพียงว่า จำเลยที่ 3 และที่ 4 ร่วมกันกระทำความผิดตามฟ้องโจทก์หรือไม่ ข้อเท็จจริงที่ศาลล่างทั้งสองรับฟังมาซึ่งโจทก์ทั้งสองและจำเลยที่ 3 และที่ 4 มิได้ฎีกาโต้เถียงเป็นอย่างอื่นรับฟังได้เป็นยุติในเบื้องต้นว่า ขณะเกิดเหตุโจทก์ที่ 1 เป็นรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มีโจทก์ที่ 2 เป็นภริยา ส่วนจำเลยที่ 3 เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสังกัดพรรคเพื่อไทย จำเลยที่ 4 เป็นรองโฆษกพรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านในขณะนั้น วันที่ 26 ธันวาคม 2552 เวลาประมาณ 12 นาฬิกา จำเลยที่ 3 และที่ 4 กับพวกได้ร่วมกันจัดแถลงข่าวที่สำนักงานใหญ่พรรคเพื่อไทย โดยให้ผู้สื่อข่าวบันทึกภาพและเสียงทั้งสื่อวิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ รวมทั้งสื่อมวลชนทุกแขนง ในการแถลงข่าวดังกล่าวจำเลยที่ 3 และที่ 4 กับพวกได้แจกเอกสารประกอบการแถลงข่าวซึ่งมีข้อความว่า ทางพรรคเพื่อไทยได้รับการร้องเรียนจากพนักงานการบินไทยและผู้ถือหุ้นว่า นายกรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง อาจมีการใช้อภิสิทธิ์สั่งการให้ บริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) ทำการเลื่อนชั้นที่นั่งบัตรโดยสารของตนเองและภริยารวมถึงบุตรในการเดินทางไปต่างประเทศหลายครั้ง อีกทั้งยังอาจขอใช้สิทธิในการเพิ่มน้ำหนักและจำนวนของสัมภาระในการเดินทางเกินกว่าที่ระเบียบของสายการบินกำหนดไว้ ซึ่งปรากฏข้อเท็จจริงว่า นายกรณ์ และภริยาได้ซื้อบัตรโดยสารเครื่องบินของสายการบินไทยในชั้นธุรกิจเพื่อการเดินทางไปต่างประเทศโดยก่อนเดินทางเชื่อว่าจะมีการดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งใน 2 ลักษณะ คือ 1. นายกรณ์ อาจใช้อำนาจและอภิสิทธิ์ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสั่งการให้พนักงานที่มีอำนาจในการเลื่อนชั้นการเดินทางทำการเลื่อนชั้นที่นั่งบัตรโดยสารให้เป็นชั้นหนึ่งโดยที่ไม่ได้มีการจ่ายค่าโดยสารเพิ่มเติมตามที่มีการเลื่อนชั้นการเดินทางแต่อย่างใด อีกทั้งยังอาจมีการสั่งการให้มีการเลื่อนชั้นการเดินทางของบุตรจากชั้นประหยัดเป็นชั้นธุรกิจอีกด้วย หรือ 2. ผู้มีอำนาจในการเลื่อนชั้นบัตรโดยสารในการบินไทย ยอมสูญเสียผลประโยชน์ของบริษัทในกรณีนี้เป็นเงินหลายล้านบาท ทั้งที่บริษัทกำลังประสบปัญหาเรื่องรายได้ด้วยการทำการเลื่อนชั้นการเดินทางให้นายกรณ์ และครอบครัว ทั้งนี้อาจเป็นเพราะแลกเปลี่ยนกับผลประโยชน์บางอย่าง เพื่อความก้าวหน้าของตน หรืออาจมีผู้มีอำนาจเหนือกว่าเป็นผู้สั่งการ ซึ่งนับรวมจำนวนครั้งในการขอเลื่อนชั้นการเดินทางเท่าที่ตรวจสอบพบนั้น ครอบครัวนายกรณ์ ขอเลื่อนชั้นการเดินทางทั้งหมด 14 ครั้ง โดยมีการเดินทางไปกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ 11 ครั้ง เดินทางไปเกาะบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย 2 ครั้ง และกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส 1 ครั้ง รวมเป็นมูลค่าทั้งสิ้นกว่า 3,000,000 บาท โดยครอบครัวนายกรณ์ ได้จ่ายเงินค่าบัตรโดยสารจริงให้แก่การบินไทยเพียงประมาณ 400,000 บาท พรรคเพื่อไทยขอประนามพฤติกรรมการใช้อภิสิทธิ์ในการเป็นรัฐมนตรีของนายกรณ์ที่ถือว่าเป็นการเอารัดเอาเปรียบบริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) ในครั้งนี้ ไม่ว่าจะกระทำเองหรือผู้อื่นกระทำให้ เพราะการเดินทางทุกครั้งที่ปรากฏนั้น เป็นการเดินทางโดยส่วนตัวทั้งสิ้น พรรคเพื่อไทยจึงขอเรียกร้องจากทุกฝ่ายพิจารณาดำเนินการในเรื่องนี้โดยด่วนเพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการใช้อำนาจหน้าที่ของรัฐมนตรีไปในทางที่มิชอบทั้งแนบท้ายตารางการบินพร้อมเอกสารที่แจกผู้สื่อข่าวดังกล่าว ต่อมาในวันเดียวกันหลังจากที่จำเลยที่ 3 และที่ 4 แถลงข่าว โจทก์ที่ 1 ได้ออกแถลงกล่าวตอบโต้เรื่องดังกล่าวต่อสื่อมวลชนว่าไม่เป็นความจริง และต่อมาวันที่ 28 ธันวาคม 2552 จำเลยที่ 3 และที่ 4 กับพวกได้แถลงข่าวยืนยันว่าเรื่องที่แถลงในวันที่ 26 ธันวาคม 2552 มีเอกสารหลักฐานและได้ทำการตรวจสอบแล้ว เห็นว่า ขณะเกิดเหตุโจทก์ที่ 1 เป็นรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และเป็นรัฐมนตรีว่ากระทรวงการคลัง ส่วนโจทก์ที่ 2 เป็นภริยาของโจทก์ที่ 1 แม้ว่าการกระทำของจำเลยที่ 3 และที่ 4 ที่ร่วมกันแถลงข่าวให้ผู้สื่อข่าวบันทึกภาพและเสียงทั้งสื่อโทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ และสื่อมวลชนทุกแขนง และแจกเอกสารประกอบการแถลงด้วยข้อความที่มีลักษณะเป็นการใส่ความโจทก์ทั้งสอง โดยประการที่น่าจะทำให้โจทก์ทั้งสองผู้ถูกใส่ความเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง อันอาจเข้าเกณฑ์เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 ก็ตาม แต่ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 329 (3) บัญญัติยกเว้นความผิดฐานหมิ่นประมาทว่า ผู้ใดแสดงความคิดเห็นหรือข้อความใดโดยสุจริต ติชมด้วยความเป็นธรรม ซึ่งบุคคลหรือสิ่งใดอันเป็นวิสัยของประชาชนย่อมกระทำ ผู้นั้นไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาท ดังนั้น โจทก์ทั้งสองจึงมิใช่เพียงแต่มีหน้าที่นำสืบว่า จำเลยที่ 3 และที่ 4 ร่วมกันใส่ความโจทก์ทั้งสองโดยประการที่น่าจะทำให้โจทก์ทั้งสองเสียชื่อเสียงเท่านั้น หากแต่ยังมีหน้าที่นำสืบด้วยว่า การกระทำของจำเลยที่ 3 และที่ 4 มิใช่เป็นการแสดงความคิดเห็นหรือข้อความโดยสุจริต โดยติชมด้วยความเป็นธรรม ซึ่งบุคคลหรือสิ่งใดอันเป็นวิสัยของประชาชนย่อมกระทำด้วย สำหรับประเด็นข้อนี้โจทก์ทั้งสองมีโจทก์ที่ 1 เบิกความว่า โจทก์ที่ 1 เห็นว่าการกระทำของจำเลยที่ 3 และที่ 4 ไม่ได้เป็นการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต และชอบธรรม แต่เป็นการจงใจกลั่นแกล้งโจทก์ทั้งสองโดยการใช้ข้อมูลอันเป็นเท็จ ซึ่งแม้ว่าโจทก์ทั้งสองจะพยายามนำสืบว่าการเดินทางของบุตรโจทก์ทั้งสองเป็นการซื้อตั๋วโดยสารในชั้นประหยัดและเลื่อนระดับเป็นชั้นธุรกิจ เช่นเดียวกับการเดินทางของโจทก์ทั้งสองที่มีการเลื่อนชั้นบัตรโดยสาร นั้น โจทก์ที่ 1 มิได้ใช้อำนาจหน้าที่ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในการเลื่อนชั้นบัตรโดยสารแต่อย่างใด และภายหลังจากจำเลยที่ 3 และที่ 4 แถลงข่าวในวันที่ 26 และ 28 ธันวาคม 2552 แล้ว ในวันที่ 29 เดือนเดียวกัน บริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) ได้ทำหนังสือชี้แจงกรณีการซื้อตั๋วโดยสารของโจทก์ที่ 1 และครอบครัว โดยระบุว่าการเลื่อนชั้นบัตรโดยสารของโจทก์ที่ 1 และครอบครัวเป็นไปตามกฎเกณฑ์ที่วางไว้ และการอนุมัติเป็นกรณีพิเศษดังกล่าวไม่ลิดรอนสิทธิที่นั่งของผู้โดยสารปกติ โดยโจทก์ทั้งสองมีนางสรวณี พนักงานของบริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) ตำแหน่งผู้อำนวยการหน่วยธุรกิจรอยัลออร์คิดพลัส เบิกความอธิบายหลักเกณฑ์การปรับระดับชั้นที่นั่งโดยสารของบริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) มีอยู่ 2 หลักเกณฑ์ คือ กรณีที่หนึ่งเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่บริษัทกำหนดไว้ คือ การปรับชั้นที่นั่งโดยสารนอกหลักเกณฑ์โดยในกรณีนี้เป็นกรณีพิเศษที่ทางบริษัทฯ กำหนดไว้ว่าผู้ใดมีอำนาจอนุมัติได้บ้าง และจะอนุมัติในกรณีใดบ้างก็ตาม แต่จากการเดินทางของโจทก์ทั้งสองและครอบครัว รวม 14 เที่ยวบิน นำมาแสดงประกอบการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนในวันที่ 26 ธันวาคม 2552 นั้น เมื่อพิจารณาประกอบกับเอกสารการเดินทางของโจทก์ทั้งสองกับครอบครัวที่บริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) ส่งมาตามคำสั่งศาลแล้ว ปรากฏหลักฐานชัดแจ้งว่า มีการเลื่อนชั้นบัตรโดยสารของโจทก์ที่ 2 โดยใช้สิทธิบัตรทองอาร์โอพีคลับโกลด์ของโจทก์ที่ 2 ตามหลักเกณฑ์ในกรณีที่หนึ่งของบริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) ดังที่นางสรวณีเบิกความเพียงรายการเดียว รายการอื่น ๆ นอกนั้นล้วนเป็นการปรับชั้นที่นั่งให้สูงขึ้นแบบนอกหลักเกณฑ์อันเป็นกรณีพิเศษทั้งสิ้น โดยบางรายการมีการปรับชั้นที่นั่งโดยสารโดยระบุผู้มีอำนาจอนุมัติพร้อมเหตุผล เช่น ระบุว่าเนื่องจากเที่ยวบินมีการสำรองที่นั่งมาเกินจำนวนที่นั่งอันเป็นการอนุมัติที่หน้างาน ตามเที่ยวบินลำดับที่ 9 และลำดับที่ 14 (โจทก์ที่ 2 เที่ยวบินทีจี 910 และ 911) สำหรับรายการอื่น ๆ นอกนั้นคงเป็นรายการที่โจทก์ทั้งสองและครอบครัวซื้อตั๋วในราคาหนึ่งและปรับชั้นที่นั่งโดยสารไปสู่ชั้นที่สูงกว่าโดยเป็นการดำเนินการนอกหลักเกณฑ์เป็นกรณีพิเศษดังที่นางสรวณีเบิกความโดยระบุเพียงตัวผู้อนุมัติเท่านั้น แต่หาได้ระบุถึงเหตุผลที่ต้องปรับชั้นที่นั่งโดยสารไม่และบางรายการเป็นการอนุมัติด้วยวาจา บางรายการไม่ได้ระบุว่าอนุมัติด้วยวาจาหรือลายลักษณ์อักษร พฤติการณ์แห่งคดีจึงมีข้อเคลือบแคลงสงสัยว่าการอนุมัติปรับชั้นที่นั่งโดยสารให้สูงขึ้นแก่โจทก์ทั้งสองและครอบครัวมากมายหลายครั้งรวม 14 เที่ยวบินนั้นได้ดำเนินการถูกต้องตามหลักเกณฑ์ของบริษัทฯ หรือไม่ โจทก์ที่ 1 เบิกความยอมรับข้อเท็จจริงต่อคำถามค้านของทนายจำเลยที่ 3 และที่ 4 ว่า ขณะเกิดเหตุ นอกจากโจทก์ที่ 1 จะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังแล้ว โจทก์ที่ 1 ยังดำรงตำแหน่งรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ด้วย การเลือกกรรมการบริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) ที่ประชุมผู้ถือหุ้นจะเป็นผู้ลงคะแนนเลือก ซึ่งกระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ โดยก่อนที่จะมีการนำรายชื่อของคณะกรรมการให้ที่ประชุมผู้ถือหุ้นลงคะแนนนั้น จะต้องมีการเสนอรายชื่อดังกล่าวให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ สังกัดกระทรวงการคลัง พิจารณาก่อนสถานะและตำแหน่งกับหน้าที่และอำนาจของโจทก์ที่ 1 ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในขณะเกิดเหตุดังกล่าว เมื่อพิจารณาประกอบข้อเท็จจริงที่โจทก์ทั้งสองระบุในฎีกาเกี่ยวกับราคาบัตรโดยสาร เช่น บัตรโดยสารชั้นประหยัดสำหรับการเดินทางระหว่างกรุงเทพมหานครและกรุงลอนดอน ราคา 35,745 บาท ชั้นธุรกิจราคา 150,765 บาท และชั้นหนึ่ง ราคา 228,200 บาท ผลประโยชน์ที่โจทก์ทั้งสองกับครอบครัวได้รับจากการปรับระดับชั้นที่นั่งโดยสารรวม 14 เที่ยวบิน จึงคำนวณเป็นราคาเงินได้เป็นเงินจำนวนมิใช่เล็กน้อย แม้โจทก์ที่ 1 จะเบิกความยืนยันว่าไม่เคยใช้อภิสิทธิ์ใด ๆ ในการปรับชั้นที่นั่งบัตรโดยสารก็ตาม แต่โจทก์ทั้งสองก็หาได้นำผู้อนุมัตินอกหลักเกณฑ์มาสืบว่าอนุมัติเลื่อนชั้นที่นั่งโดยสารให้แก่โจทก์ทั้งสองและครอบครัวด้วยการใช้ดุลพินิจอย่างไร และในประการสำคัญคือโจทก์ที่ 1 ดำรงตำแหน่งทางการเมืองระดับสูงถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มีหน้าที่ทั้งโดยตรงและโดยอ้อมที่จะต้องดูแลผลประโยชน์ของแผ่นดินแม้พนักงานผู้มีอำนาจจะพิจารณาอนุมัติเอง โดยโจทก์ที่ 1 มิได้ร้องขอ แต่โจทก์ที่ 1 เองก็น่าจะตระหนักรู้และอาจใช้วิจารณญาณได้ว่าสมควรที่โจทก์ที่ 1 จะรับหรือปฏิเสธประโยชน์ที่จะได้จากการเลื่อนชั้นบัตรที่นั่งโดยสารเครื่องบิน ซึ่งอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้จำนวนมิใช่เล็กน้อยเช่นนั้น ดังนั้น แม้ข้อเท็จจริงจะฟังได้ตามคำฟ้องของโจทก์ทั้งสองว่าจำเลยที่ 3 และที่ 4 แถลงข่าวต่อสื่อมวลชนใส่ความโจทก์ทั้งสองในทำนองว่าในการเลื่อนชั้นที่นั่งบัตรโดยสารนั้น อาจทำได้ในสองลักษณะ คือ 1. โจทก์ที่ 1 อาจใช้อำนาจและอภิสิทธิ์ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสั่งให้พนักงานที่มีอำนาจในการอัพเกรด (เลื่อนชั้น) บัตรโดยสารให้เป็นชั้นหนึ่งโดยไม่มีการจ่ายค่าโดยสารเพิ่มเติมตามที่มีการเลื่อนชั้นทั้งอาจมีการสั่งการให้มีการเลื่อนชั้นการเดินทางของบุตรจากชั้นประหยัดเป็นชั้นธุรกิจด้วย และ 2. ผู้มีอำนาจในการอัพเกรด (เลื่อนชั้น) บัตรโดยสารในการบินไทยทำการเลื่อนชั้นบัตรโดยสารให้โจทก์ที่ 1 กับครอบครัวเพื่อแลกผลประโยชน์หรือความก้าวหน้าของตน หรืออาจมีผู้มีอำนาจเหนือกว่าเป็นผู้สั่งการ อันเป็นเพียงการตั้งข้อสังเกตที่จำเลยที่ 3 และที่ 4 ในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านอยู่ในขณะนั้น เมื่อตรวจสอบพบหลักฐานความไม่ชอบมาพากลของรัฐมนตรีในคณะรัฐมนตรีก็ชอบที่จะแสดงความคิดเห็นเพื่อติชมด้วยความเป็นธรรมได้ การกระทำของจำเลยที่ 3 และที่ 4 จึงเป็นการแสดงความคิดเห็นหรือข้อความใดโดยสุจริต ติชม โจทก์ทั้งสองด้วยความเป็นธรรมซึ่งบุคคลหรือสิ่งใดอันเป็นวิสัยของประชาชนย่อมกระทำ ต้องด้วยข้อยกเว้นความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 329 (3) ดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมาชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย
ที่โจทก์ทั้งสองฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่า ข้อยกเว้นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 329 (3) เป็นหน้าที่ของจำเลยที่ 3 และที่ 4 ที่จะต้องนำสืบ หาใช่หน้าที่ของโจทก์ทั้งสองที่จะต้องนำสืบไม่นั้น เห็นว่า ในคดีอาญา แม้เป็นกรณีที่กฎหมายบัญญัติยกเว้นความผิดให้แก่จำเลยก็ตาม โจทก์ก็ยังคงมีหน้าที่นำสืบว่า การกระทำของจำเลยไม่เข้าข้อยกเว้นความผิดเช่นว่านั้น หาใช่ว่ากรณีที่จำเลยจะได้รับยกเว้นความผิดเช่นว่านี้แล้ว หน้าที่นำสืบจะตกอยู่แก่จำเลยดังที่โจทก์ทั้งสองกล่าวอ้างในฎีกาไม่ คำพิพากษาศาลฎีกาที่โจทก์ทั้งสองกล่าวอ้างมาข้อเท็จจริงไม่ตรงกับคดีนี้
ที่โจทก์ทั้งสองฎีกาโต้แย้งว่า จำเลยที่ 3 และที่ 4 มิได้แสดงความคิดเห็นหรือข้อความโดยสุจริต เพราะจำเลยที่ 3 และที่ 4 เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมิได้ปฏิบัติตามกลไกของกฎหมายรัฐธรรมนูญ ซึ่งกำหนดวิธีการตรวจสอบเอาไว้ คือการยื่นกระทู้ถามหรือยื่นกระทู้สด หรือเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ หรือยื่นถอดถอนรัฐมนตรีได้แต่กลับใช้วิธีการตั้งโต๊ะแถลงข่าวฝ่ายเดียว โดยเรียกสื่อมวลชนทุกแขนงมารับฟัง และรับข้อมูลนั้น เห็นว่า สาระสำคัญของข้อยกเว้นความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 329 (3) นั้น อยู่ตรงที่ว่า เป็นการติชมด้วยความเป็นธรรมซึ่งบุคคลหรือสิ่งใดอันเป็นวิสัยของประชาชนย่อมกระทำ ดังนั้น หากความคิดเห็นหรือข้อความที่แสดงออกมาต้องด้วยสาระสำคัญของเหตุยกเว้นความผิด ดังกล่าวแล้ว ไม่ว่าผู้ใส่ความผู้อื่นจะแสดงความคิดเห็นหรือข้อความด้วยวิธีการอย่างไร ก็เป็นสิทธิอันชอบธรรมที่จะกล่าวหรือแสดงความคิดเห็นหรือข้อความเช่นว่านั้นได้ เพราะแม้จำเลยที่ 3 และที่ 4 จะเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมีอำนาจหน้าที่และมีสิทธิที่จะใช้ช่องทางตามกฎหมายรัฐธรรมนูญในการตรวจสอบโจทก์ที่ 1 กับครอบครัวได้ตามวิถีทางของกระบวนการประชาธิปไตยก็ตาม แต่จำเลยที่ 3 และที่ 4 ก็ยังอยู่ในฐานะของประชาชนที่มีสิทธิได้รับความคุ้มครองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 329 (3) เฉกเช่นเดียวกับประชาชนคนอื่น ๆ เช่นกัน
สำหรับฎีกาของโจทก์ทั้งสองในข้ออื่น ๆ นอกจากนี้ ล้วนเป็นข้อโต้แย้งซึ่งบางประเด็นก็ได้วินิจฉัยในประเด็นก่อน ๆ อยู่แล้ว และหลายประเด็นที่ฎีกากล่าวอ้างมาล้วนเป็นพลความข้อปลีกย่อย แม้รับวินิจฉัยให้ก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงผลแห่งคดีได้ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยให้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 3 และที่ 4 มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ทั้งสองฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share