แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ในวันตรวจพยานหลักฐาน โจทก์ปฏิเสธการตรวจพยานหลักฐาน แล้วศาลมีคำสั่งให้นัดสืบพยานโจทก์และจำเลยต่อไป เท่ากับศาลมีคำสั่งเป็นอย่างอื่นอันเนื่องจากสภาพและความจำเป็นแห่งพยานหลักฐานตาม ป.วิ.อ. มาตรา 173/2 ประกอบ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ.2550 มาตรา 3 และเป็นการยกเลิกไม่กำหนดให้มีวันตรวจพยานหลักฐาน
กรณีที่ศาลไม่กำหนดให้มีวันตรวจพยานหลักฐาน จึงอยู่ในบังคับ ป.วิ.อ. มาตรา 240 วรรคหนึ่ง ซึ่งกำหนดให้คู่ความที่ประสงค์จะอ้างเอกสารที่อยู่ในความครอบครองของตน ต้องยื่นพยานเอกสารนั้นต่อศาลก่อนวันนัดสืบพยานไม่น้อยกว่าสิบห้าวัน เพื่อให้คู่ความอีกฝ่ายตรวจและขอคัดสำเนาได้ก่อนที่จะนำสืบพยานเอกสารนั้น
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66, 101/1, 102 พระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 3, 8 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 72 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 83, 91 ริบเมทแอมเฟตามีน โทรศัพท์เคลื่อนที่ 4 เครื่อง รถจักรยานยนต์ สมุดบันทึกรายชื่อลูกค้าและอาวุธปืนพกรีวอลเวอร์ของกลาง
จำเลยที่ 1 รับสารภาพในข้อหามีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน กับข้อหามีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต ส่วนข้อหาอื่นให้การปฏิเสธ
จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพในข้อหามีอาวุธปืนมีทะเบียนและเครื่องกระสุนปืนของผู้อื่นไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต ส่วนข้อหาอื่นให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่งและวรรคสาม (2), 66 วรรคหนึ่ง และวรรคสาม พระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 8 วรรคสอง พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 โดยจำเลยที่ 1 มีความผิดตามมาตรา 7, 72 วรรคหนึ่ง ส่วนจำเลยที่ 2 มีความผิดตามมาตรา 7, 72 วรรคสาม การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานสมคบกันกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดกับฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและร่วมกันจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ให้ประหารชีวิตจำเลยทั้งสอง ฐานร่วมกันจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน จำคุกคนละ 16 ปี ฐานมีอาวุธปืนไม่มีทะเบียนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 1 ปี ฐานมีอาวุธปืนมีทะเบียนของผู้อื่นไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 6 เดือน จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 52 (2), 91 (3) เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้ว คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 50 ปี จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 52 (1) จำคุกตลอดชีวิต เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้ว คงจำคุกตลอดชีวิต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (3) ริบเมทแอมเฟตามีน อาวุธปืนพกรีวอลเวอร์และโทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลาง ส่วนรถจักรยานยนต์และสมุดบันทึกรายชื่อลูกค้าของกลางนั้นให้คืนแก่เจ้าของ
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดียาเสพติดพิพากษาแก้เป็นว่า ข้อหาร่วมกันจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนจำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 15 ปี ลดโทษให้จำเลยที่ 1 กึ่งหนึ่ง และลดโทษให้จำเลยที่ 2 หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 7 ปี 6 เดือน และจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 10 ปี เมื่อรวมกับโทษในความผิดข้อหาอื่นตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้ว คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 50 ปี และจำคุกจำเลยที่ 2 ตลอดชีวิต นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 2 ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่โจทก์กับจำเลยที่ 1 ไม่ฎีกาและจำเลยที่ 2 ไม่ฎีกาโต้แย้งรับฟังเป็นยุติได้ว่า จำเลยที่ 1 กระทำความผิดฐานสมคบกันกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและฐานร่วมกันจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน กับฐานมีอาวุธปืนไม่มีทะเบียนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต ส่วนจำเลยที่ 2 กระทำความผิดฐานมีอาวุธปืนมีทะเบียนของผู้อื่นไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต
มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ว่า ศาลล่างทั้งสองรับฟังพยานบุคคล พยานเอกสาร และพยานวัตถุชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ โดยจำเลยที่ 2 ฎีกาสรุปความว่า การที่ศาลชั้นต้นได้กำหนดวันนัดพร้อมและวันตรวจพยานหลักฐานในวันที่ 18 พฤศจิกายน 2556 โดยชอบแล้ว แม้ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งหรือข้อพิจารณาประการใดในวันดังกล่าวก็ไม่ทำให้วันตรวจพยานหลักฐานที่กำหนดไว้เปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น ทั้งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 173/2 ก็หาได้บัญญัติว่าเมื่อไม่มีการตรวจพยานหลักฐานแล้ว วันดังกล่าวก็หาใช่วันตรวจพยานหลักฐานตามที่ศาลอุทธรณ์พิจารณา เมื่อโจทก์ไม่ได้ยื่นบัญชีระบุพยานก่อนวันตรวจพยานหลักฐานไม่น้อยกว่าเจ็ดวัน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 173/1 วรรคสอง และโจทก์หาได้มีการขออนุญาตยื่นบัญชีระบุพยานฉบับลงวันที่ 18 พฤศจิกายน 2556 แต่อย่างใด โจทก์จึงหามีสิทธินำพยานตามบัญชีระบุพยานของโจทก์ลงวันที่ 18 พฤศจิกายน 2556 เข้านำสืบไม่ และห้ามมิให้ศาลอนุญาตให้สืบและรับฟังพยานหลักฐานดังกล่าว ซึ่งแม้ศาลจะรับบัญชีระบุพยานของโจทก์ก็ยังคงต้องห้ามมิให้รับฟัง สำหรับพยานเอกสารที่โจทก์อ้างส่งต่อศาลระหว่างวันที่ 28 ถึงวันที่ 30 มกราคม 2557 แต่โจทก์ไม่ได้ส่งพยานเอกสารก่อนสืบพยานโจทก์จึงไม่สามารถรับฟังเป็นพยานหลักฐานตามกฎหมายได้ การที่จำเลยที่ 2 แถลงในวันที่ 31 มกราคม 2557 ว่าไม่ติดใจให้โจทก์ส่งพยานหลักฐานก่อนวันสืบพยานก็หาได้มีผลย้อนหลังให้พยานหลักฐานที่ได้ยื่นโดยผิดกฎหมายในระหว่างการสืบพยานก่อนหน้านั้นเป็นพยานหลักฐานที่ถูกต้องตามกฎหมายขึ้นได้ และโดยเฉพาะพยานเอกสารที่โจทก์ไม่ได้ยื่นบัญชีระบุพยานจึงต้องห้ามมิให้สืบและรับฟังนั้น เห็นว่า แม้จำเลยที่ 2 มิได้หยิบยกอุทธรณ์ปัญหาตามฎีกานี้ทั้งหมดในชั้นอุทธรณ์ แต่เป็นฎีกาว่าศาลอุทธรณ์รับฟังพยานหลักฐานชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ซึ่งเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาจึงรับวินิจฉัยให้
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งในวันนัดพร้อมเพื่อสอบคำให้การจำเลยตรวจพยานหลักฐานและกำหนดวันนัดสืบพยานว่า เจ้าพนักงานตำรวจได้มีการจับกุมจำเลยทั้งสองโดยวิธีการล่อซื้อ พยานหลักฐานโจทก์ทั้งหมดล้วนเป็นพยานที่ได้มาจากการสืบสวนสอบสวนเข้าล่อซื้อจับกุมยาเสพติดจากจำเลยทั้งสอง แม้กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาจะเปิดโอกาสให้คู่ความสามารถตรวจสอบพยานวัตถุและพยานเอกสารก่อนวันสืบพยาน แต่ก็เป็นดุลพินิจของศาลที่จะกำหนดให้มีการตรวจพยานหลักฐานหรือไม่ เมื่อโจทก์ปฏิเสธในการตรวจพยานหลักฐานก็เห็นควรให้สืบพยานหลักฐานโจทก์และจำเลยทั้งสอง แล้วมีคำสั่งให้นัดสืบพยานหลักฐานโจทก์และจำเลยทั้งสองต่อไป ปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นลงวันที่ 18 พฤศจิกายน 2556 จึงมีผลเท่ากับศาลชั้นต้นมีคำสั่งเป็นอย่างอื่นอันเนื่องจากสภาพและความจำเป็นแห่งพยานหลักฐานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 173/2 ประกอบพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ.2550 มาตรา 3 และเป็นการยกเลิกไม่กำหนด ให้มีวันตรวจพยานหลักฐานในคดีนี้ กรณีจึงตกอยู่ในบังคับของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 240 ประกอบพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ.2550 มาตรา 3 ซึ่งเป็นกรณีที่ศาลมิได้กำหนดให้มีวันตรวจพยานหลักฐานตามมาตรา 173/1 ซึ่งตามมาตรา 240 วรรคหนึ่ง กำหนดให้คู่ความที่ประสงค์จะอ้างเอกสารที่อยู่ในความครอบครองของตนเป็นพยานหลักฐาน ให้ยื่นพยานเอกสารนั้นต่อศาลก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่าสิบห้าวัน เพื่อให้คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งมีโอกาสตรวจและขอคัดสำเนาเอกสารได้ก่อนที่จะนำสืบพยานเอกสารนั้น เว้นแต่…หรือศาลเห็นสมควรสั่งเป็นอย่างอื่น อันเนื่องจากสภาพและความจำเป็นแห่งเอกสารนั้น ส่วนการที่โจทก์ไม่ยื่นพยานเอกสารต่อศาลก่อนวันสืบพยานในวันที่ 28 ถึงวันที่ 30 มกราคม 2557 ตามบทบัญญัติดังกล่าว และไม่ยื่นบัญชีระบุพยานต่อศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 229/1 วรรคหนึ่ง ประกอบพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ.2550 มาตรา 3 สำหรับพยานเอกสารที่ไม่อยู่ในสำนวนการสอบสวนนั้น แม้มาตรา 240 วรรคสาม บัญญัติให้ศาลมีอำนาจไม่รับฟังพยานหลักฐานนั้น และมาตรา 229/1 วรรคสี่ บัญญัติห้ามมิให้ศาลอนุญาตให้สืบและรับฟังพยานหลักฐานนั้นก็ตาม แต่ก็เป็นดุลพินิจของศาลในกรณีเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม หรือเห็นว่าจำเป็นต้องสืบพยานหลักฐานดังกล่าวเพื่อให้การวินิจฉัยชี้ขาดข้อสำคัญแห่งประเด็นเป็นไปโดยเที่ยงธรรม ศาลก็มีอำนาจอนุญาตให้สืบและรับฟังพยานหลักฐานเช่นว่านั้นได้ ซึ่งเมื่อคดีนี้มีอัตราโทษสูง ยาเสพติดของกลางมีปริมาณมาก และตามคำฟ้องปรากฏพฤติการณ์สมคบกันกระทำความผิดจึงเป็นคดีสำคัญ ศาลล่างทั้งสองจึงมีอำนาจให้สืบและรับฟังพยานหลักฐานนั้นได้ การยื่นบัญชีระบุพยานโจทก์และการสืบพยานเอกสารที่โจทก์อ้างส่งต่อศาลระหว่างวันที่ 28 ถึงวันที่ 30 มกราคม 2557 จึงชอบแล้ว ที่ศาลล่างทั้งสองรับฟังพยานบุคคล พยานเอกสาร และพยานวัตถุของโจทก์มานั้นชอบด้วยกฎหมายแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ 2 ประการนี้ฟังไม่ขึ้น