คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1434/2547

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

แม้แผนฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้มิได้มีข้อกำหนดห้ามมิให้มีการหักกลบลบหนี้ในหนี้ของเจ้าหนี้ ผู้บริหารแผนชอบที่จะใช้สิทธิแสดงเจตนาขอหักกลบลบหนี้ระหว่างหนี้ที่ลูกหนี้กับเจ้าหนี้ต่างมีความผูกพันซึ่งกันและกันโดยมูลหนี้อันมีวัตถุเป็นอย่างเดียวกันได้ก็ตาม แต่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าในคดีฟื้นฟูกิจการของเจ้าหนี้ ลูกหนี้คดีนี้โดยผู้บริหารแผนได้นำมูลหนี้ที่ขอหักกลบลบหนี้กับเจ้าหนี้ดังกล่าวไปขอรับชำระหนี้ในการฟื้นฟูกิจการของเจ้าหนี้ ซึ่งเจ้าหนี้ได้โต้แย้งคำขอรับชำระหนี้และขณะนี้ยังอยู่ในระหว่างการดำเนินการตามขั้นตอนของ พ.ร.บ.ล้มละลายฯ ดังนั้น สิทธิเรียกร้องของลูกหนี้ในหนี้ดังกล่าวจึงยังมีข้อต่อสู้อยู่ หาอาจจะเอามาหักกลบลบหนี้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 344 ได้ไม่
แม้เจ้าหนี้เพิ่งหยิบยกปัญหานี้ขึ้นอ้างในชั้นพิจารณาของศาลล้มละลายกลาง โดยมิได้กล่าวอ้างมาก่อนในชั้นไต่สวนของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ก็ตาม แต่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ก็ต้องพิจารณาให้ได้ความจริงถึงสิทธิในการขอหักกลบลบหนี้ของผู้บริหารแผนว่าอาจจะกระทำได้โดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เมื่อข้อเท็จจริงดังกล่าวปรากฏอยู่ในสำนวนคดีและกระบวนการดำเนินการชั้นฟื้นฟูกิจการของทั้งสองฝ่ายแล้ว การที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มิได้หยิบยกข้อเท็จจริงถึงการเป็นหนี้ของลูกหนี้ที่ยังมีข้อต่อสู้ขึ้นมาวินิจฉัย จึงเป็นการไม่ชอบและศาลชอบที่จะยกขึ้นวินิจฉัยได้

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2543 และมีคำสั่งเห็นชอบด้วยแผนฟื้นฟูกิจการเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2543 โดยมีบริษัทไชยปราการ จำกัด เป็นผู้บริหารแผน
เจ้าหนี้ยื่นคำร้องต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ว่า ผู้บริหารแผนไม่ชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ตามที่กำหนดในแผน แต่กลับนำหนี้ที่จะต้องชำระประจำงวดวันที่ 30 มกราคม 2544 วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2544 วันที่ 30 มีนาคม 2544 วันที่ 30 เมษายน 2544 วันที่ 31 พฤษภาคม 2544 วันที่ 29 มิถุนายน 2544 วันที่ 31 กรกฎาคม 2544 วันที่ 31 สิงหาคม 2544 วันที่ 30 กันยายน 2544 วันที่ 31 ตุลาคม 2544 วันที่ 30 พฤศจิกายน 2544 และวันที่ 28 ธันวาคม 2544 เป็นเงินงวดละ 1,364,347.81 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 16,372,173.72 บาท มาหักกลบลบหนี้ที่เจ้าหนี้จะต้องชำระให้แก่ลูกหนี้โดยมีแผนไม่มีข้อกำหนดให้กระทำได้ ขอให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีคำสั่งให้ผู้บริหารแผนชำระหนี้ตามงวดดังกล่าวให้แก่เจ้าหนี้
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์พิจารณาแล้วเห็นว่า ผู้บริหารแผนที่มีอำนาจที่จะนำหนี้จำนวนที่ถึงกำหนดชำระแก่เจ้าหนี้แล้วมาหักกลบลบหนี้ที่เจ้าหนี้จะต้องชำระให้แก่ลูกหนี้ได้ ไม่ขัดต่อแผนหรือบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 แต่อย่างใด ให้ยกคำร้อง
เจ้าหนี้ยื่นคำร้องต่อศาลล้มละลายกลางขอให้มีคำสั่งกลับคำสั่งของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ และให้ผู้บริหารแผนชำระหนี้แก่เจ้าหนี้ตามข้อกำหนดในแผน
ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งให้ผู้บริหารแผนดำเนินการในส่วนของเจ้าหนี้ให้เป็นไปตามแผนฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ต่อไป
ลูกหนี้ ผู้บริหารแผน และเจ้าหนี้อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของลูกหนี้และผู้บริหารแผนว่า ผู้บริหารแผนสามารถใช้สิทธินำหนี้ที่จะต้องชำระตามแผนฟื้นฟูกิจการมาหักกลบลบหนี้กับหนี้ที่เจ้าหนี้ค้างชำระต่อลูกหนี้หรือไม่ เห็นว่า แม้แผนฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้มิได้มีข้อกำหนดห้ามมิให้มีการหักกลบลบหนี้ในหนี้ของเจ้าหนี้ผู้บริหารแผนจึงชอบที่จะใช้สิทธิแสดงเจตนาขอหักกลบลบหนี้ระหว่างหนี้ที่ลูกหนี้กับเจ้าหนี้ต่างมีความผูกพันซึ่งกันและกันโดยมูลหนี้อันมีวัตถุเป็นอย่างเดียวกันได้ก็ตาม แต่ข้อเท็จจริงปรากฏตามคำแถลงของเจ้าหนี้ลงวันที่ 30 เมษายน 2545 ประกอบเอกสารท้ายคำแถลงหมายเลข 5 ว่าในคดีฟื้นฟูกิจการของเจ้าหนี้ตามคดีหมายเลขแดงที่ 434/2543 ลูกหนี้คดีนี้โดยผู้บริหารแผนได้นำมูลหนี้ที่ได้ขอหักกลบลบหนี้กันเจ้าหนี้ดังกล่าวไปขอรับชำระหนี้ในการฟื้นฟูกิจการของเจ้าหนี้เป็นจำนวนเงินรวม 5,067,601,483.97 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย ซึ่งเจ้าหนี้ได้โต้แย้งคำขอรับชำระหนี้และขณะนี้ยังอยู่ในระหว่างการดำเนินการตามขั้นตอนของพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 ดังนั้น สิทธิเรียกร้องของลูกหนี้ในหนี้ดังกล่าวจึงยังมีข้อต่อสู้อยู่ หาอาจจะเอามาหักกลบลบหนี้ได้ไม่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 344 แม้เจ้าหนี้จะเพิ่งหยิบยกปัญหานี้ขึ้นอ้างในชั้นพิจารณาของศาลล้มละลายกลางโดยมิได้กล่าวอ้างมาก่อนในชั้นไต่สวนของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ก็ตาม แต่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ก็ต้องก็ต้องพิจารณาให้ได้ความจริงถึงสิทธิในการขอหักกลบลบหนี้ของผู้บริหารแผนว่าอาจกระทำได้โดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เมื่อข้อเท็จจริงดังกล่าวปรากฏอยู่ในสำนวนคดีและกระบวนการดำเนินการชั้นฟื้นฟูกิจการของทั้งสองฝ่ายแล้ว การที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มิได้หยิบยกข้อเท็จจริงถึงการเป็นหนี้ของลูกหนี้ที่ยังมีข้อต่อสู้ขึ้นมาวินิจฉัย จึงเป็นการไม่ชอบและศาลชอบที่จะยกขึ้นวินิจฉัยได้ หาใช่เป็นการนำข้อเท็จจริงใหม่ขึ้นมาพิจารณาแต่อย่างใด ที่ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งมานั้นชอบแล้ว อุทธรณ์ของลูกหนี้และผู้บริหารแผนฟังไม่ขึ้น ทั้งไม่จำต้องพิจารณาอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมายของเจ้าหนี้เพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไป”
พิพากษายืน

Share