แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่จำเลยกล่าวต่อโจทก์ด้วยความเชื่อ ว่าโจทก์จ้างคนจะมาฆ่าจำเลย แล้วจำเลยไปแจ้งความต่อตำรวจขอความคุ้มครองดั่งนี้ การกระทำของจำเลยไม่ผิดฐานหมิ่นประมาท
การพิมพ์โฆษณาเสนอข่าวไปตามธรรมดาโดยได้ข่าวมาจากที่มีผู้ไปแจ้งความต่อสถานีตำรวจ และการเสนอข่าวมิได้จงใจจะใส่ร้ายดั่งนี้ ย่อมไม่เป็นผิดฐานประมาทเช่นกัน
คดีหมิ่นประมาทที่โจทก์อ้างว่า การกระทำของจำเลยอาจทำให้คนดูหมิ่นเกลียดชังโจทก์นั้น เมื่อศาลชั้นต้นมิได้ยืนยันว่ามีพฤติการณ์ขึ้นดังนั้น ถือได้ว่าโจทก์อ้างข้อกฎหมายโดยปราศจากข้อเท็จจริงสนับสนุน
ย่อยาว
ข้อเท็จจริงได้ความว่า มีคนแปลกหน้าไปบอกจำเลยที่ 1-2ว่าโจทก์จ้างตนให้มาฆ่าจำเลย จำเลยพบโจทก์สอบถามโจทก์ว่าจ้างคนมาฆ่าจำเลยใช่ไหม โจทก์ปฏิเสธ จำเลยจึงไปแจ้งความไว้ต่อสถานีตำรวจตามนัยที่ว่ามานั้น ต่อมาหนังสือพิมพ์ซึ่งจำเลยที่ 3เป็นเจ้าของและผู้จัดการได้ลงข้อความซึ่งจำเลยที่ 1-2 ได้แจ้งความขอความคุ้มครองไว้ต่อตำรวจ โจทก์จึงฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 282, 286 และ 339
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1-2 ไปถามโจทก์ตามเรื่องราวที่มีผู้มาบอกว่าจริงหรือไม่ มิได้ใส่ความโดยมุ่งหมายจะให้คนทั้งหลายดูหมิ่นเกลียดชังโจทก์ ส่วนจำเลยที่ 3 ก็เสนอข่าวไปตามธรรมดาโดยได้ข่าวมาจากที่จำเลยที่ 1-2 ไปแจ้งความ มิได้จงใจใส่ร้ายโจทก์ จึงพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ฎีกาข้อกฎหมายว่า คดีเข้าเกณฑ์ผิดตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 339 ไม่ว่าจำเลยจะมีเจตนาหรือไม่ก็ตาม
ศาลฎีกาเห็นว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นการหมิ่นประมาทและที่โจทก์ว่าอาจทำให้คนดูหมิ่นเกลียดชังโจทก์นั้น ศาลล่างก็มิได้ยืนยันว่ามีพฤติการณ์ขึ้น ดังนั้น ถือได้ว่าโจทก์อ้างข้อกฎหมายโดยปราศจากข้อเท็จจริงสนับสนุน จึงพิพากษายืน