คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1427/2542

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ21,500 บาท ในการทำงานตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2540 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2540 โจทก์มีสิทธิได้รับค่าจ้างเป็นเงิน 86,000 บาทแต่จำเลยจ่ายค่าจ้างให้เพียง 7,200 บาท ยังคงค้างจ่ายอีกเป็นเงิน78,800 บาท โจทก์ทวงถามแล้วจำเลยไม่ยอมจ่าย ดังนี้คำฟ้องโจทก์ได้บรรยายไว้อย่างชัดแจ้งว่า โจทก์มีสิทธิได้รับค่าจ้างระหว่างวันที่ 1 กันยายน 2540 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2540 เป็นเวลา 4 เดือนรวมเป็นเงิน 86,000 บาทจำเลยจ่ายให้แก่โจทก์แล้ว 7,200 บาท คงค้างอีก 78,800 บาท และเงินจำนวนที่ค้างอยู่นี้โจทก์บรรยายฟ้องยืนยันว่าได้ทวงถามแล้วซึ่งแสดงให้เห็นเจตนาของโจทก์ว่าประสงค์จะได้รับเงินจำนวนดังกล่าว หาใช่ต้องการได้รับเพียงจำนวน 7,880 บาท ตามที่ระบุในคำขอท้ายคำฟ้องไม่เหตุที่คำขอท้ายคำฟ้องระบุจำนวนเงินไว้7,880 บาท จึงเกิดจากความพลั้งเผลอเขียนตัวเลขผิดพลาดไป เป็นเหตุให้ศาลแรงงานพิพากษาให้โจทก์ได้รับเงิน 7,880 บาท ผิดพลาดตามไปด้วยอันเป็นกรณีคำพิพากษามีข้อผิดพลาดเล็กน้อย และคู่ความไม่ได้อุทธรณ์โจทก์จึงชอบที่จะร้องขอให้ศาลแรงงานมีคำสั่งแก้ไขข้อผิดพลาดนั้นให้ถูกต้องไดโดยแก้ไขจำนวนเงินในคำพิพากษาจาก 7,880 บาท เป็น78,800 บาท ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 143ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ. 2522 มาตรา 31

ย่อยาว

คดีนี้ศาลแรงงานกลางรวมพิจารณาเข้ากับคดีอีกแปดสิบเอ็ดสำนวนโดยให้เรียกโจทก์เรียงตามลำดับสำนวนว่าโจทก์ที่ 1 ถึงโจทก์ที่ 82 แต่คดีขึ้นมาสู่ศาลฎีกาเฉพาะสำนวนคดีของโจทก์คดีนี้ซึ่งเรียกว่าโจทก์ที่ 52
โจทก์ที่ 52 ฟ้องว่า เมื่อเดือนมิถุนายน 2535 จำเลยได้จ้างโจทก์ที่ 52 เข้าทำงานเป็นลูกจ้างครั้งสุดท้ายทำหน้าที่ช่างเทคนิคได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ21,500 บาท (เป็นเงินเดือน18,500 บาท และเบี้ยเลี้ยงเดือนละ 3,000 บาท) กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันสิ้นเดือน ในการทำงานกับจำเลยตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2540 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2540 โจทก์ที่ 52 มีสิทธิได้รับค่าจ้างคิดเป็นเงิน 86,000 บาท แต่จำเลยจ่ายค่าจ้างให้เพียงจำนวน 7,200 บาท จำเลยยังคงค้างจ่ายค่าจ้างแก่โจทก์ที่ 52 ทั้งสิ้นเป็นเงิน 78,800 บาท โจทก์ที่ 52 ทวงถามแล้ว แต่จำเลยไม่ยอมจ่ายขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าจ้างค้างจ่าย 7,880 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ที่ 52
จำเลยขาดนัดและขาดนัดพิจารณา
ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า โจทก์ทั้งหมดมีสิทธิเรียกดอกเบี้ยสำหรับค่าจ้างค้างจ่ายตามฟ้องพิพากษาให้จำเลยชำระค่าจ้างค้างจ่ายให้แก่โจทก์แต่ละคนตามบัญชีแนบท้ายคำพิพากษา (เฉพาะโจทก์ที่ 52 จำนวน 7,880 บาท) พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละสิบห้าต่อปีนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
โจทก์ที่ 52 ยื่นคำร้องขอแก้ไขคำพิพากษาศาลแรงงานกลางในส่วนค่าจ้างค้างจ่ายโจทก์ที่ 52จากจำนวน 7,880 บาท เป็นจำนวน 78,800 บาท ตามที่ได้บรรยายฟ้องซึ่งเป็นการแก้ไขข้อผิดพลาดเล็กน้อย
ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า กรณีตามคำร้องขอมิใช่การขอแก้ไขคำพิพากษาเกี่ยวกับข้อผิดพลาดหรือผิดหลงเล็กน้อยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 143 วรรคหนึ่ง แก้ไขให้ไม่ได้จึงมีคำสั่งให้ยกคำร้องขอ
โจทก์ที่ 52 อุทธรณ์คำสั่งต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ที่ 52มีว่า โจทก์ที่ 52 ขอให้แก้ไขคำพิพากษาศาลแรงงานกลางจากจำนวนเงิน7,880 บาท เป็น78,800 บาท ได้หรือไม่ พิเคราะห์แล้ว โจทก์ที่ 52 บรรยายฟ้องว่าโจทก์ที่ 52 ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 21,500 บาทในการทำงานตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2540 ถึงวันที่31 ธันวาคม 2540 โจทก์ที่ 52 มีสิทธิได้รับค่าจ้างเป็นเงิน 86,000 บาท แต่จำเลยจ่ายค่าจ้างให้เพียง 7,200 บาท ยังคงค้างจ่ายอีกเป็นเงิน 78,800 บาท โจทก์ที่ 52 ทวงถามแล้ว จำเลยไม่ยอมจ่าย เห็นว่า คำฟ้องโจทก์ที่ 52 ได้บรรยายไว้อย่างชัดแจ้งว่า โจทก์ที่ 52 มีสิทธิได้รับค่าจ้างระหว่างวันที่ 1 กันยายน 2540 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2540 เป็นเวลา 4 เดือนรวมเป็นเงิน86,000 บาท จำเลยจ่ายให้แก่โจทก์ที่ 52 แล้ว 7,200 บาท คงค้างอีก 78,800 บาท และเงินจำนวนที่ค้างอยู่นี้โจทก์ที่ 52 บรรยายฟ้องยืนยันว่าได้ทวงถามแล้วซึ่งแสดงให้เห็นเจตนาของโจทก์ที่ 52ว่าประสงค์จะได้รับเงินจำนวนดังกล่าวหาใช่ต้องการได้รับเพียงจำนวน 7,880 บาท ตามที่ระบุในคำขอท้ายคำฟ้องไม่ เหตุทคำขอท้ายคำฟ้องระบุจำนวนเงินไว้ 7,880 บาท จึงน่าเชื่อว่าเกิดจากความพลั้งเผลอเขียนตัวเลขผิดพลาดไป เป็นเหตุให้ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้โจทก์ที่ 52 ได้รับเงิน7,880 บาท ผิดพลาดตามไปด้วย อันเป็นกรณีคำพิพากษามีข้อผิดพลาดเล็กน้อยและคู่ความไม่ได้อุทธรณ์ โจทก์ที่ 52 จึงชอบที่จะร้องขอให้ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งแก้ไขข้อผิดพลาดนั้นให้ถูกต้องได้ โดยแก้ไขจำนวนเงินในคำพิพากษาจาก 7,880 บาทเป็น 78,800 บาท ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 143 ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 31
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยจ่ายค่าจ้างค้างแก่โจทก์ที่ 52 เป็นเงิน 78,800 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง

Share