คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1112/2494

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

บิดาเอาที่ดิน ( ไม่มีโฉนด ) พร้อมทั้งสิ่งปลูกสร้างบนที่ดิน อันเป็นของบุตรไปขายฝากเขาไว้มีกำหนดไถ่คืนภายใน 10 ปี ในนามตนเองเป็นส่วนตัว มิใช่ทำแทนบุตร ผู้รับซื้อฝากก็ทราบว่าที่ดินเป็นของบุตร ดังนี้จะนำสัญญามาใช้ยันบุตรไม่ได้และผู้รับซื้อฝากจะอ้างว่าได้ครอบครองมาครบ 10 ปีแล้ว ก็ไม่ได้อีกเพราะเมื่อสัญญานั้นไม่ผูกพันบุตรดังกล่าวแล้ว การครอบครองของจำเลยตามข้อสัญญาและตามกิริยาที่ปฏิบัติต่อกันเป็นทำนองเอาที่ดินประกันเงินกู้ โดยยอมให้มีสิทธิไถ่ถอนได้ภายใน 10 ปี ฉะนั้นภายในกำหนด 10 ปีนั้นผู้รับซื้อฝากจะอ้างว่า ตนครอบครองด้วยเจตนาเป็นเจ้าของหาได้ไม่
จำเลยรับซื้อฝากที่ดินจากบิดาของโจทก์โดยรู้ว่าบิดาครอบครองแทนโจทก์และไม่มีอำนาจโอน จำเลยอ้างอายุความปกครองโดยปรปักษ์ยันโจทก์ไม่ได้
จำเลยเคยฟ้องมารดาของเด็ก ( ซึ่งบรรลุนิติภาวะแล้ว ) ขอให้ศาลขัลไล่ออกจากที่พิพาทโดยอ้างว่าได้กรรมสิทธิมาจากการขายฝากหลุดเป็นกรรมสิทธิ ศาลพิพากษาให้จำเลยชนะ แต่คดียังไม่ถึงที่สุดเด็กกลับมาเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยอ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นของเด็ก มิใช่ของบิดามารดา การที่บิดเอาที่ไปขายฝากแก่จำเลย เด็กไม่ทราบ เป็นเรื่องจำเลยสมคบกับบิดาเด็กแจ้งเท็จต่ออำเภอว่าเป็นที่ของบิดาเด็ก จึงขอให้เพิกถอนสัญญาขายฝาก ดังนี้ ถือว่าไม่เป็นฟ้องซ้ำ และคำพิพากษาในคดีก่อนก็ไม่ผูกพันเด็ก

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ศาลสั่งทำลายนิติกรรมขายฝากที่ดินระหว่างนายยกเปกกับจำเลย โดยอ้างว่าที่ดินแปลงนี้เป็นของโจทก์ โดยนางเลขผู้เป็นยายได้ทำนิติกรรมยกให้โจทก์ แต่เวลานั้นโจทก์ยังเป็นเด็ก นายยกเปกบิดาจึงได้เป็นผู้รับรักษามาในฐานะเป็นผู้ปกครองโจทก์ ครั้นเมื่อวันที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๔๗๖ จำเลยกับนายยกเปกสมรู้ร่วมคิดกัน เพราะรู้อยู่ดีแล้วว่านายกเปกมิใช่เจ้าของที่ดินไม่มีอำนาจขายฝากที่ดินนั้นได้ แต่จำเลยได้ให้นายยกเปกแจ้งข้อความเท็จต่ออำเภอว่า เป็นเจ้าของที่ดินนี้ โดยนายยกเปกได้รับมรดกจากบิดามารดาและภรรยา อำเภอหลงเชื่อว่าเป็นความจริงจึงได้ทำนิติกรรมขายฝากให้โจทก์เพิ่งทราบความขึ้น จึงขอให้เพิกถอนนิติกรรมนั้น
จำเลยต่อสู้ว่า ที่พิพาทเป็นของนายยกเปก จำเลยซื้อโดยสุจริต และได้ครอบครองโดยสงบและเปิดเผยโดยเจตนาเป็นเจ้าของมาเกิน ๑๐ ปีแล้ว ฯลฯ
ศาลชั้นต้นเห็นว่า โจทก์สืบไม่พอฟังว่าจำเลยรู้ว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์มาแต่แรกและเห็นว่า การขายฝากกระทำกันตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๗๖ ก่อนใช้ ป.ม.แพ่ง ฯ บรรพ ๕ บิดาย่อมมีอำนาจขายทรัพย์สินของบุตรที่อยู่ในปกครองของตนได้ ฯลฯ จึงพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ที่พิพาทเป็นที่มือเปล่า เมื่อนายยกเปกขายฝากแก่จำเลยแล้ว นายยกเปกได้ทำสัญญาเช่าที่ดินโรงเรือนจากจำเลย ครั้นเมื่อนายยกเปกถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๔๘๖ วันที่ ๑๑ มกราคม จำเลยได้ฟ้องนางแดง ซึ่งเป็นภรรยานายยกเปก และเป็นมารดาโจทก์ว่า นายยกเปกไม่ถอนที่พิพาทขอให้แสดงว่าที่พิพาทเป็นของจำเลยให้ขับไล่นางแดง และบริวารออกจากที่พิพาท ศาลพิพากษาให้จำเลยชนะคดีเรื่องนั้นในระหว่างคดีนั้นยังไม่ถึงที่สุด โจทก์ได้ยื่นฟ้องคดีนี้
ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้ กับคดีเรื่องก่อนที่จำเลยฟ้องนางแดงนั้น คู่ความเป็นคนละคนกัน การที่โจทก์ซึ่งมิใช่คู่ความในคดีก่อนมาฟ้องในคดีนี้ จึง+
และข้อที่ว่าการขายฝากกระทำกันก่อนใช้ ป.ม.แพ่งฯ บรรพ ๕ บิดาย่อมมีอำนาจขายฝากทรัพย์ของบุตรที่อยู่ใน ความปกครองของตนได้นั้น เป็นเรื่องบิดาทำสัญญาขาย+ของบุตรในนามของบุตร คือกระทำแทนบุตรในหน้าที่ผู้ปกครอง+แต่ในคดีนี้นายยกเปกทำสัญญาในนามของตนเอง ฉะนั้นจึง+ถือว่านายยกเปกขายฝากที่ดินรายนี้เป็นส่วนตัว ไม่ใช่กระทำแทนโจทก์ เมื่อปรากฎว่าที่ดินไม่ใช่ของนายยกเปก ทั้งจำเลยก็ทราบอยู่แล้ว ฉะนั้นการที่จำเลยทำสัญญารับซื้อฝากขาย+นายยกเปกโดยรู้อยู่แล้วว่านายยกเปกไม่ใช่เจ้าของ และ+ทำแทนโจทก์ จึงนำมาใช้ยันกับโจทก์หาได้ไม่ ข้อที่จำเลย+ว่าได้ใช้สิทธิครอบครองที่ดินรายพิพาทมาโดยสงบและเปิดเผยโดยเจตนาเป็นเจ้าของมาเกิน ๑๐ ปีแล้วนั้น เห็นว่า เมื่อสัญญารายนี้ไม่ผูกพันโจทก์ดังได้วินิจฉัยมาแล้ว การครอบครองของจำเลยตามข้อสัญญาก็ดี ตามกิริยาที่นายยกเปกกับจำเลยปฏิบัติต่อกันเช่นนี้เช่นการขึ้นเงินครั้งที่ ๒ ก็ดี เป็นทำนองเอาที่ดินประกันเงินกู้ โดยยอมให้มีสิทธิไถ่ถอนได้ภายใน ๑๐ ปี ฉะนั้นภายในกำหนดระยะเวลาดังกล่าวแล้ว จำเลยจะอ้างว่า+ ครอบครองด้วยเจตนาเป็นเจ้าของหาได้ไม่ นับตั้งแต่ครบกำหนดการไถ่ถอนจนถึงวันฟ้องเป็นเวลาไม่ถึง ๑ ปี ทั้งจำเลยรู้อยู่ว่านายยกเปกครอบครองแทนโจทก์ จำเลยจึงอ้างอายุความปกครองโดยปรปักษ์มาใช้ยังไม่ได้ โจทก์ยังไม่ขาดกรรมสิทธิในที่ดินรายพิพาท
จึงพร้อมกันพิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ + ที่ดินรายพิพาทเป็นของโจทก์

Share