คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 14256/2555

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีนี้จำเลยทั้งห้าให้การรับสารภาพ ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ตามฟ้องว่า จำเลยที่ 2 และที่ 5 เป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมาย เมื่อจำเลยทั้งห้าร่วมกันกระทำความผิดตามฟ้องโจทก์ จำเลยที่ 2 และที่ 5 จึงเป็นตัวการร่วมกันกระทำความผิดกับจำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 ด้วย และฟ้องของโจทก์บรรยายโดยชัดแจ้งว่า จำเลยทั้งห้ากระทำความผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกันโดยแยกเป็น 4 ข้อ ซึ่งความผิดทั้งสี่ข้อเป็นการกระทำต่างวันเวลากันอีกทั้งจำเลยทั้งห้าให้การรับสารภาพตามฟ้อง ถือได้ว่าจำเลยทั้งห้ามีเจตนากระทำความผิดทั้งสี่ข้อแยกต่างหากออกจากกัน การกระทำของจำเลยทั้งห้าจึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันตาม ป.อ. มาตรา 91

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งห้าตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 157, 161
จำเลยทั้งห้าให้การปฏิเสธ แต่ก่อนสืบพยานจำเลยทั้งห้าขอถอนคำให้การเดิมและให้การใหม่เป็นรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งห้ามีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157, 161 ประกอบมาตรา 83 การกระทำของจำเลยทั้งห้าเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษตามมาตรา 157 อันเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ให้ลงโทษทุกกระทงเป็นความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 จำคุกกระทงละ 2 ปี รวม 4 กระทง เป็นจำคุกคนละ 8 ปี จำเลยทั้งห้าให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้คนละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงจำคุกคนละ 4 ปี
จำเลยทั้งห้าอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุกจำเลยทั้งห้ากระทงละ 1 ปี รวม 4 กระทง เป็นจำคุกคนละ 4 ปี ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 กระทงละกึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลยทั้งห้าคนละ 2 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งห้าฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งห้าประการแรกว่า ฟ้องโจทก์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ โดยจำเลยทั้งห้าฎีกาว่า ฟ้องโจทก์ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 161 ไม่ได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยทั้งห้าในฐานะเจ้าพนักงานได้กระทำการปลอมเอกสารในหน้าที่อย่างไร และความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ไม่ได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยทั้งห้าได้รับผลประโยชน์อย่างใดหรือเพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเองหรือผู้อื่นอย่างไร โจทก์บรรยายฟ้องในข้อ 2.1 ถึงข้อ 2.3 ว่า จำเลยทั้งห้าโดยรู้อยู่แล้วว่าการก่อสร้างถนนคอนกรีตเสริมเหล็กจะต้องใช้แรงงานจากราษฎรดำเนินการก่อสร้างถนนตามโครงการที่ทางราชการอนุมัติและจำเลยทั้งห้ามีหน้าที่ทำเอกสาร กรอกข้อความลงในเอกสาร ดูแลรักษาเอกสาร บัญชีใช้แรงงานจากราษฎรดำเนินการก่อสร้างถนนตามโครงการที่ทางราชการอนุมัติ และจ่ายเงินค่าจ้างให้ราษฎรผู้รับจ้างให้ครบถ้วนถูกต้อง จำเลยทั้งห้าโดยทุจริตได้ปฏิบัติหน้าที่และละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบร่วมกันทำบัญชีรายชื่อราษฎรผู้รับจ้างและหลักฐานการจ่ายเงินค่าจ้างแรงงานราษฎรดำเนินการก่อสร้างถนนตามโครงการที่ทางราชการอนุมัติว่ามีรายชื่อราษฎรใช้แรงงานก่อสร้างและลงลายมือชื่อรับเงินค่าจ้างโครงการก่อสร้างถนนคอนกรีตเสริมเหล็กบ้านหนองนกคู่คนละ 7 วัน คิดค่าจ้างให้วันละ 130 บาท จำนวน 21 คน เป็นเงินค่าแรง 9,100 บาท รวม 2 ครั้ง และคนละ 8 วัน คิดค่าจ้างให้วันละ 130 บาท จำนวน 21 คน รวมเป็นค่าแรง 10,400 บาท อันเป็นเท็จ ความจริงแล้วจำเลยทั้งห้าได้ว่าจ้างห้างหุ้นส่วนจำกัดนาดูนก่อสร้างเป็นผู้ดำเนินการ และนำเงินค่าจ้างไปจ่ายให้แก่ราษฎรผู้ปรากฏในบัญชีรายชื่อราษฎรผู้รับจ้างและหลักฐานการจ่ายเงินค่าจ้างแรงงานราษฎรดำเนินการก่อสร้างถนนตามโครงการที่ทางราชการอนุมัติเพียงคนละ 100 บาท บางคนไม่ได้รับเงินค่าจ้าง เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่องค์การบริหารส่วนตำบลหนองไผ่ ราษฎรผู้มีรายชื่อในบัญชีรายชื่อผู้รับจ้างจำนวน 21 คน และข้อ 2.4 ว่า จำเลยทั้งห้าซึ่งมีหน้าที่ดังกล่าวได้ปฏิบัติหน้าที่และละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และโดยอาศัยโอกาสที่ตนมีหน้าที่ร่วมกันปลอมเอกสารโดยลงลายมือชื่อปลอมนายสุพจน์ นายฉัตธ์ นายอเนกพงศ์ และนายทองพูล ในช่องผู้รับเงิน และลงลายมือชื่อปลอมนายอเนกพงศ์ นายชื่อ กรรมการผู้จ่ายเงินในเอกสารบัญชีรายชื่อราษฎรใช้แรงงานก่อสร้างและลงลายมือชื่อรับเงินค่าจ้างโครงการก่อสร้างถนนคอนกรีตเสริมเหล็ก เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่องค์การบริหารส่วนตำบลหนองไผ่ นายสุพจน์ นายฉัตธ์ นายอเนกพงศ์ และนายทองพูล เห็นว่า ฟ้องโจทก์ข้อ 2.1 ถึงข้อ 2.3 ไม่ได้บรรยายฟ้องให้เห็นว่า จำเลยทั้งห้ากระทำปลอมเอกสารโดยอาศัยโอกาสที่ตนมีหน้าที่นั้น ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 161 แม้ข้อความในเอกสารจะเป็นความเท็จก็ไม่ทำให้เป็นเอกสารปลอม ฟ้องโจทก์ข้อ 2.1 ถึงข้อ 2.3 จึงไม่ครบองค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 161 ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5) แม้จำเลยทั้งห้าให้การรับสารภาพ ก็ไม่สามารถลงโทษจำเลยทั้งห้าในความผิดฐานดังกล่าวได้ ส่วนฟ้องข้อ 2.4 โจทก์บรรยายฟ้องแล้วว่า จำเลยทั้งห้าอาศัยโอกาสที่ตนมีหน้าที่ร่วมกันปลอมเอกสารโดยลงลายมือชื่อปลอมของผู้อื่น ฟ้องโจทก์ข้อ 2.4 จึงครบองค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 161 ส่วนความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 นั้น โจทก์บรรยายฟ้องในความผิดฐานดังกล่าวตามข้อ 2.1 ถึง 2.4 ว่า จำเลยทั้งห้าได้ปฏิบัติหน้าที่และละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่องค์การบริหารส่วนตำบลหนองไผ่ ราษฎรผู้มีรายชื่อในบัญชีรายชื่อผู้รับจ้างจำนวน 21 คน นายสุพจน์ นายฉัตธ์ นายอเนกพงศ์ และนายทองพูล ซึ่งเห็นได้ว่า โจทก์ประสงค์จะให้ลงโทษจำเลยทั้งห้าฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ มิได้ประสงค์ให้ลงโทษจำเลยทั้งห้าฐานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ดังนี้ โจทก์จึงไม่ต้องบรรยายฟ้องว่า จำเลยทั้งห้าได้รับผลประโยชน์อย่างใดหรือเพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเองหรือผู้อื่นอย่างไร ฟ้องโจทก์ข้อ 2.1 ถึงข้อ 2.4 จึงครบองค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 แล้ว ดังนี้ ฟ้องโจทก์ข้อ 2.4 ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 161 และข้อ 2.1 ถึงข้อ 2.4 ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5) แล้ว ฎีกาของจำเลยทั้งห้าข้อนี้ฟังขึ้นบางส่วน
มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งห้าประการต่อไปว่า การกระทำของจำเลยทั้งห้าเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และมาตรา 161 หรือไม่ โดยจำเลยทั้งห้าฎีกาว่า ฟ้องของโจทก์ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 เท่ากับโจทก์ประสงค์ให้ลงโทษจำเลยทั้งห้าเพราะเป็นคณะกรรมการเบิกเงินองค์การบริหารส่วนตำบลหนองไผ่ แต่ตามเอกสาร เงินเป็นของอำเภอนาดูน ซึ่งได้ความว่าจำเลยที่ 1 ส่งเอกสารเท็จไปขอรับเงินจากอำเภอนาดูนและรับเงินจากอำเภอนาดูนแล้วจึงเป็นเรื่องที่โจทก์ไม่ประสงค์ให้ลงโทษและถือว่าจำเลยทั้งห้าขาดเจตนาพิเศษนั้น เห็นว่า จำเลยทั้งห้าเพิ่งยกข้อเท็จจริงว่าเงินเป็นของอำเภอนาดูนขึ้นกล่าวอ้างในชั้นฎีกา จึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 4 ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ส่วนที่จำเลยทั้งห้าฎีกาว่า จำเลยที่ 2 และที่ 5 ไม่ได้มีหน้าที่เป็นกรรมการเบิกจ่ายเงินเช่นเดียวกับจำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 จึงไม่อาจเป็นตัวการร่วมกันกระทำความผิดได้ เห็นว่า คดีนี้จำเลยทั้งห้าให้การรับสารภาพ ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ตามฟ้องว่า จำเลยที่ 2 และที่ 5 เป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมาย เมื่อจำเลยทั้งห้าร่วมกันกระทำความผิดตามฟ้องโจทก์ จำเลยที่ 2 และที่ 5 จึงเป็นตัวการร่วมกันกระทำความผิดกับจำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 ด้วย ฎีกาของจำเลยทั้งห้าข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งห้าประการต่อไปว่า การกระทำของจำเลยทั้งห้าเป็นกรรมเดียวหรือไม่ โดยจำเลยทั้งห้าฎีกาว่า จำเลยทั้งห้าทำเอกสารขึ้นครั้งเดียวเพื่อประกอบการเบิกเงินจากอำเภอนาดูนจึงเป็นการกระทำเจตนาเดียว เห็นว่า ฟ้องของโจทก์บรรยายโดยชัดแจ้งว่า จำเลยทั้งห้ากระทำความผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกันโดยแยกเป็น 4 ข้อ ซึ่งความผิดทั้งสี่ข้อเป็นการกระทำต่างวันเวลากัน อีกทั้งจำเลยทั้งห้าก็ให้การรับสารภาพตามฟ้อง ถือได้ว่าจำเลยทั้งห้ามีเจตนากระทำความผิดทั้งสี่ข้อแยกต่างหากออกจากกัน การกระทำของจำเลยทั้งห้าจึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ที่ศาลล่างทั้งสองลงโทษจำเลยทั้งห้ารวม 4 กระทงชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยทั้งห้าข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า กระทงที่ 1 ถึงที่ 3 จำเลยทั้งห้ามีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ประกอบมาตรา 83 ส่วนกระทงที่ 4 จำเลยทั้งห้ามีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157, 161 ประกอบมาตรา 83 ความผิดกระทงที่ 4 เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 อันเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 โทษและนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4

Share