คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 261/2489

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตัวอย่างพินัยกรรม์ที่ตีความหมายว่า ให้มีสิทธิอาศัยฉะเพาะที่ดิน ไม่หมายถึงบ้านเรือนด้วยแม้ศาลจะเชื่อคำพะยานบุคคลว่าความประสงค์เดิมของผู้ทำพินัยกรรม์อาจประสงค์ให้จำเลยมีสิทธิอาศัยทั้งที่ดินและบ้านเรือนด้วยก็ตาม แต่เวลาจดเป็นลายลักษณอักษรคงระบุให้อาศัยในที่ดินดังนี้ จำเลยย่อมไม่มีสิทธิอาศัยในบ้านเรือนด้วย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยออกจากเรือนของโจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยมีสิทธิอาศัยในที่ดินและเรือนหลังนี้ ตามพินัยกรรม์ที่นางใหญ่ได้ทำไว้
ศาลชั้นต้นเห็นว่า ตามพินัยกรรม์ที่นางใหญ่ทำไว้ระบุเพียงว่าให้จำเลยมีสิทธิอาศัยแต่ฉะเพาะที่ดินเท่านั้น ฉะนั้นจำเลยจึงไม่มีสิทธิอาศัยในเรือนพิพาท พิพากษาให้ขับไล่ให้จำเลยออกจากเรือนพิพาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า เมื่ออ่านพินัยกรรมรวมกันและโยงกันต้องหมายความว่า ให้มีสิทธิอยู่ในที่ดิน บ้านเรือน จะแปลว่าให้อยู่ฉะเพาะในที่ดินไม่ได้ นอกจากนี้ยังมีคำพะยานสนับสนุน จึงพิพากษากลับว่า จำเลยมีสิทธิอาศัยเรือนพิพาทตามพินัยกรรม์ต่อไปให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า พินัยกรรม์ข้อ ๑ มีความว่า “ที่ดินตามโฉนดที่ ๑๐๕๕ ยกให้แก่โจทก์ทั้ง ๕ คนละเท่า ๆ กัน พร้อมทั้งบ้านเรือนในที่รายนี้ และให้จำเลยได้อาศัยอยู่ในรายนี้จนตลอดชีวิต
นายเชวงพะยานจำเลยผู้เป็นพะยานพินัยกรรม์เบิกความว่า นางใหญ่ระบุให้จำเลยมีสิทธิอาศัยทั้งที่ดินและบ้านเรือน แต่ในพินัยกรรม์ระบุเพียงให้อาศัยแต่ในที่รายนี้ ศาลฎีกาเห็นว่า ความประสงค์เดิมของนางใหญ่อาจเป็นจริงดังคำของนายเชวง แต่เวลาจดเป็นลายลักษณอักษรคงเหลือแต่ให้จำเลยอาศัยในที่ดินเท่านั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ศาลนี้เห็นว่า จำเลยไม่มีสิทธิอาศัยในบ้านเรือนด้วย พิพากษากลับ บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share