คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2931/2516

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินให้โจทก์ ถ้าจำเลยที่ 1ไม่ชำระให้จำเลยที่ 2 ชำระแทน โจทก์จึงต้องดำเนินการบังคับชำระหนี้เอาจากทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 ก่อน เมื่อจำเลยที่ 2 อ้างว่าจำเลยที่ 1มีทรัพย์สินพอที่จะชำระหนี้ได้. และการบังคับคดีเอาจากทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 ไม่เป็นการยาก โจทก์เองก็ไม่คัดค้านว่า จำเลยที่ 1 ไม่มีทรัพย์ ทั้งยินยอมให้จำเลยที่ 2 ไปขายทรัพย์ของจำเลยที่ 1การที่จำเลยที่ 2 ไม่สามารถจัดการขายทรัพย์ของจำเลยที่ 1 ได้หาทำให้โจทก์ข้ามการบังคับชำระหนี้เอาจากจำเลยที่ 1 มาบังคับเอาจากจำเลยที่ 2 ได้ไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ผู้กู้ และจำเลยที่ 2 ผู้ค้ำประกันให้ชำระเงินกู้และดอกเบี้ย จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การ และจำเลยทั้งสองขาดนัดพิจารณา ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระต้นเงินแก่โจทก์พร้อมทั้งดอกเบี้ย ถ้าจำเลยที่ 1 ไม่ชำระให้จำเลยที่ 2 ชำระแทน โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ของจำเลยที่ 2 ขายทอดตลาดชำระหนี้ จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องว่า จำเลยที่ 1 ยังมีทรัพย์สินพอจะชำระหนี้ได้ ขอให้งดการขายทอดตลาดไว้ ศาลชั้นต้นสั่งให้งดการขายทอดตลาดไว้ ต่อมาจำเลยที่ 2 ยื่นคำแถลงว่าจำเลยที่ 1 ยอมให้จำเลยที่ 2 ขายทรัพย์ของจำเลยที่ 1มาชำระหนี้ได้ จึงขอเวลา 2 เดือนเพื่อไปขายทรัพย์นี้ แต่ศาลชั้นต้นสั่งยกคำแถลงโจทก์ขอให้ขายทอดตลาดทรัพย์ของจำเลยที่ 2 ศาลชั้นต้นสั่งให้จำเลยที่ 2 จัดการตามคำแถลงของจำเลยที่ 2 ที่ขอเวลาขายทรัพย์ของจำเลยที่ 1 หากไม่ปฏิบัติตามก็ให้บังคับคดีต่อไป ต่อมาจำเลยที่ 2 ยื่นคำแถลงว่าไม่สามารถขายทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 ได้ภายในกำหนด 2 เดือน ขอให้ศาลกำหนดเวลาให้โจทก์ยื่นคำขอให้ยึดทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 เพราะจำเลยที่ 1 ยังมีทรัพย์สินอยู่และการบังคับชำระหนี้จากจำเลยที่ 1 ไม่เป็นการยก ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าผู้ค้ำประกันต้องพิสูจน์ว่าลูกหนี้มีทางชำระหนี้ได้และการบังคับให้ลูกหนี้ชำระหนี้นั้นไม่เป็นการยาก จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันขาดนัดพิจารณา ไม่ได้นำสืบพยาน และโจทก์ไม่ได้แถลงรับ จึงไม่อาจอ้างประโยชน์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 689 ได้ ยกคำแถลง ให้บังคับคดีจากทรัพย์ของจำเลยที่ 2 ต่อไป

จำเลยที่ 2 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยที่ 2 ฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินให้โจทก์ก่อน ถ้าจำเลยที่ 1 ไม่ชำระ ให้จำเลยที่ 2 ชำระแทน เมื่อคำพิพากษามีผลดังนี้ โจทก์จึงต้องดำเนินการบังคับชำระหนี้เอาจากทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 ก่อน คดีนี้ปรากฏว่าโจทก์ขอให้ออกหมายบังคับคดีเฉพาะจำเลยที่ 2 เมื่อจำเลยที่ 2 ยื่นคำแถลงว่าโจทก์มีทางที่จะเอาชำระหนี้จากทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 ได้ และการบังคับคดีเอาจากทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 ก็ไม่ยาก โดยจำเลยที่ 2 จะเป็นผู้นำชี้ในการยึดทรัพย์ และทรัพย์ดังกล่าว จำเลยที่ 1 ได้นำมาเป็นหลักประกันในการกู้เงินรายนี้ โจทก์เองก็ไม่ได้คัดค้านว่าจำเลยที่ 1 ไม่มีทรัพย์ดังที่จำเลยที่ 2 แถลงทั้งยังยินยอมให้จำเลยที่ 2ไปขายทรัพย์ของจำเลยที่ 1 ได้ เมื่อจำเลยที่ 2 พิสูจน์ได้ว่าจำเลยที่ 1 มีทางที่จะชำระหนี้ได้ และการที่จะบังคับให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้ไม่เป็นการยาก ในชั้นบังคับคดีจำเลยที่ 2 จึงมีสิทธิในฐานะผู้ค้ำประกันที่จะขอให้โจทก์บังคับชำระหนี้เอาจากทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 ก่อนได้ตามสิทธิที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 689 บัญญัติให้ไว้ การที่โจทก์ยินยอมให้จำเลยที่ 2 ไปขายทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 เพื่อนำเงินมาชำระหนี้ให้โจทก์ ผลที่สุดจำเลยที่ 2 ไม่สามารถจัดการได้เพราะจำเลยที่ 1 หลบหนีออกจากภูมิลำเนาไม่ทราบว่าไปอยู่ที่ใด หาทำให้โจทก์ข้ามการบังคับชำระหนี้เอาจากจำเลยที่ 1มาบังคับเอาจากจำเลยที่ 2 ได้ไม่

พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นว่า ให้ยกคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้บังคับคดีจากทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 โดยให้บังคับชำระหนี้เอาจากทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 ก่อน หากไม่พอจึงให้บังคับเอาจากจำเลยที่ 2

Share