คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1422/2493

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีเดิมศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ตามฟ้องโจทก์ไม่ระบุว่าที่ดินรายพิพาทเป็นสินเดิมหรือสินสมรส ไม่อาจแบ่งแยกได้ตามฟ้อง จึงพิพากษายกฟ้องโดยไม่ตัดสิทธิที่จะนำคำฟ้องมายื่นใหม่ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148(3) ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน คดีถึงที่สุด ดังนี้ ถือว่าศาลอุทธรณ์ให้ฟ้องใหม่ได้ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 148(3) เหมือนกัน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1, 2 เป็นสามีภริยากัน จำเลยที่ 1 ได้เป็นหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาคดีอาญาคดีแดงที่ 512/2489 ซึ่งถึงที่สุดแล้วว่า เป็นหนี้ส่วนตัวจำเลย ไม่ได้รับความยินยอมจากจำเลยที่ 2 จึงไม่ผูกพันสินบริคณห์ ฉะนั้นจึงขอให้แบ่งแยกที่ดินโฉนดที่ 4665 อันเป็นสินสมรสของจำเลย จัดสรรชำระหนี้ให้โจทก์

จำเลยต่อสู้ว่าฟ้องซ้ำ และว่าแยกสินบริคณห์ไม่ได้

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้แบ่งแยกโฉนดที่ 4665 ออกเป็นสองส่วนเท่า ๆ กัน ส่วนของจำเลยที่ 1 จัดสรรชำระหนี้โจทก์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกาเฉพาะฟ้องซ้ำ กับข้อที่มิได้ว่ากล่าวกันมาในศาลล่าง

ศาลฎีกาเห็นว่า คดีเดิมศาลชั้นต้นพิพากษาว่าตามฟ้องโจทก์ไม่ระบุว่า ที่ดินรายพิพาทเป็นสินเดิมหรือสินสมรส ไม่อาจแบ่งแยกได้ตามฟ้อง จึงพิพากษายกฟ้อง โดยไม่ตัดสิทธิที่จะนำคำฟ้องมายื่นใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148(3) คดีถึงที่สุดชั้นศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ซึ่งหมายความว่าศาลชั้นต้นพิพากษาว่าอย่างไร ศาลอุทธรณ์ก็พิพากษาอย่างนั้น กล่าวคือ ยกฟ้องโจทก์แต่ให้ฟ้องใหม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ข้อฎีกาอื่น ๆ มิได้ว่ากล่าวกันมา รับวินิจฉัยให้ไม่ได้

พิพากษายืน

Share