คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1415/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ โดยมิได้นำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาล เป็นการฝ่าฝืนประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 34 ศาลอุทธรณ์ชอบที่จะยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยได้ และการที่ศาลชั้นต้นส่งคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยไปยังศาลอุทธรณ์ทันทีโดยมิได้แจ้งให้จำเลยทราบถึงข้อบกพร่องดังกล่าวก็ไม่เป็นการพิจารณาที่ผิดระเบียบ เพราะประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234 มิได้บังคับให้ศาลชั้นต้นต้องปฏิบัติเช่นนั้น แต่บังคับผู้อุทธรณ์เพียงฝ่ายเดียวให้ต้องปฏิบัติหาใช่เป็นหน้าที่ของศาลไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดิน ให้จำเลยทั้งสามสำนวนเช่าที่ดินดังกล่าว เมื่อครบกำหนดตามสัญญาเช่า โจทก์บอกกล่าวให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและขนย้ายออกจากที่ดินโจทก์ แต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและส่งมอบที่ดินให้โจทก์ในสภาพเรียบร้อย หากไม่ปฏิบัติตาม ให้โจทก์รื้อถอนได้เองโดยจำเลยออกค่าใช้จ่ายให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์สำนวนละ ๑,๐๐๐ บาทต่อเดือน นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะรื้อถอนออกไปจากที่ดินของโจทก์
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์จำเลยร่วมทุนกันก่อสร้างห้องแถวโดยตกลงกันว่าให้จำเลยอยู่ในที่ดินได้ไม่น้อยกว่า ๓๐ ปี จำเลยเช่าห้องแถวได้เพียง ๒๓ ปี ยังเหลืออีก ๗ ปี ขอให้ยกฟ้อง และให้โจทก์ไปจดทะเบียนการเช่าที่ดินและห้องแถวตามฟ้องให้แก่จำเลยอีก ๗ ปี นับแต่วันที่สัญญาเช่าตามฟ้องสิ้นสุดลง
โจทก์ให้การแก่ฟ้องแย้งว่า โจทก์ให้จำเลยเช่าที่ดินเป็นเวลา ๓ ปี ไม่มีข้อผูกพันให้เช่าถึง ๓๐ ปี ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนห้องแถวออกไปจากที่ดินของโจทก์และส่งมอบที่ดินแก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อย และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์คนละ ๓๐๐ บาท ต่อเดือน นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะรื้อถอนห้องแถวออกไปจากที่ดินของโจทก์
จำเลยอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับอุทธรณ์เพราะเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามอุทธรณ์
จำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งว่า จำเลยอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์โดยมิได้นำเงินที่จะต้องชำระตามคำพิพากษาวางหรือหาประกันมาให้ไว้ต่อศาลชั้นต้น เป็นการไม่ปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๓๔ จึงไม่มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าว ให้ยกคำร้อง
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลชั้นต้นเมื่อวันที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๓๒ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ในวันเดียวกันนั้น จำเลยจะต้องร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ภายใน ๑๐ วัน และนำค่าฤชาธรรมเนียมทั้งปวงมาวางศาลและนำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลภายในกำหนด ๑๐ วัน นับแต่วันที่ศาลมีคำสั่ง แต่จำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของศาลชั้นต้นเมื่อวันที่ ๙ พฤศจิกายน ๒๕๓๒ โดยมิได้นำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาล เป็นการฝ่าฝืนประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๓๔ ศาลอุทธรณ์ให้ยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยจึงชอบแล้ว ที่จำเลยฎีกาว่าศาลชั้นต้นสมควรตรวจและพิจารณาว่าจำเลยได้ปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๓๔ ในเรื่องนำเงินค่าฤชาธรรมเนียมมาวางศาล และนำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลภายในกำหนดหรือยัง หากเห็นว่าจำเลยยังมิได้ปฏิบัติตามกฎหมายก็ชอบที่จะแจ้งให้จำเลยทราบในเรื่องดังกล่าว การที่ศาลชั้นต้นส่งคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยไปยังศาลอุทธรณ์ทันทีโดยมิได้แจ้งให้จำเลยทราบถึงข้อบกพร่องดังกล่าว จึงเป็นการพิจารณาที่ผิดระเบียบ ขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๗ วรรคแรก นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๓๔ มิได้บังคับให้ศาลชั้นต้นต้องปฏิบัติดังที่จำเลยกล่าวอ้างแต่ประการใดแต่บทบัญญัติมาตรานี้บังคับผู้อุทธรณ์แต่เพียงผู้เดียวให้ต้องปฏิบัติ หาใช่เป็นหน้าที่ของศาลดังที่จำเลยกล่าวอ้างไม่
พิพากษายืน.

Share