แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
นายจ้างผู้ร่วมรับผิดกับลูกจ้างในกรณีละเมิดจะต้องเสียดอกเบี้ยค่าสินไหมทดแทนนับแต่วันละเมิดเช่นเดียวกับลูกจ้างผู้กระทำละเมิด
ผู้รับประกันวินาศภัยซึ่งเข้ารับช่วงสิทธิโดยได้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เอาประกันภัยซึ่งถูกกระทำละเมิดไป แล้วย่อมมีสิทธิขอให้คิดดอกเบี้ยในเงินจำนวนดังกล่าวจากผู้ละเมิดนับแต่วันที่ได้จ่ายเงินจำนวนนั้นไป จะขอให้คิดดอกเบี้ยนับแต่วันละเมิดไม่ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ที่ ๑ เป็นเจ้าของรถยนต์บรรทุกหมายเลข ก.ท.๐๒๓๑๓ โจทก์ที่ ๒ เป็นบริษัทจำกัด ประกอบกิจการรับประกันภัยจำเลยประกอบธุรกิจรับจ้างซ่อมเครื่องยนต์ เมื่อวันที่ ๑๘ สิงหาคม ๒๕๑๐ โจทก์ที่ ๑ ได้ว่าจ้างจำเลยซ่อมรถยนต์ของโจทก์ที่ ๑ นายสนิทภุมรินทร์ ลูกจ้างจำเลยได้ทำการซ่อมให้โดยความประมาททำให้เกิดไฟไหม้รถยนต์ของโจทก์ที่ ๑ เสียหาย โจทก์ที่ ๒ ผู้รับประกันภัยได้จัดการซ่อมให้โจทก์ที่ ๑ แล้วสิ้นเงิน ๖,๑๐๓ บาท โจทก์ที่ ๒จึงรับช่วงสิทธิฟ้องคดีนี้ ระหว่างรถเข้าอู่ซ่อม ๓๐ วันโจทก์ที่ ๑ขาดผลประโยชน์วันละ ๔๘๐ บาท รถเสื่อมราคาไป ๒๐,๐๐๐ บาท รวมค่าเสียหายที่จำเลยจะต้องชดใช้ให้โจทก์ทั้งสองเป็นเงิน ๔๐,๕๐๓ บาท และดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันละเมิดจนถึงวันฟ้องคิดเป็นเงิน ๓,๐๓๘ บาท ขอให้บังคับจำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสองเป็นเงิน ๔๓,๕๓๑ บาท และดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของจำนวนเงิน ๔๐,๕๐๓ บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การปฏิเสธความรับผิด
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงินแก่โจทก์ที่ ๑ เป็นเงิน ๘,๐๐๐ บาท โจทก์ที่ ๒ เป็นเงิน ๖,๑๐๓ บาท และชำระดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ ๑๘ สิงหาคม ๒๕๑๐ จนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องกับคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้น เว้นแต่ค่าซ่อมรถ เพราะโจทก์ที่ ๒ คำนวณค่าซ่อมเกินไป ๕๐๐ บาท ความจริงเป็นเงิน ๕,๖๐๓ บาท พิพากษาแก้ เป็นว่าให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ที่ ๒ จำนวน ๕,๖๐๓ บาท กับดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ ๑๘ สิงหาคม ๒๕๑๐ จนกว่าจะชำระเสร็จ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์ที่ ๑ ผู้ได้รับความเสียหายจากการทำละเมิดฟ้องจำเลยในฐานะนายจ้างให้ร่วมรับผิดกับลูกจ้างในผลแห่งละเมิดซึ่งลูกจ้างได้กระทำไปในทางการที่จ้างตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๒๕ และในกรณีหนี้อันเกิดแต่มูลละเมิดลูกหนี้ได้ชื่อว่าผิดนัดมาแต่เวลาละเมิด ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒๐๖ จำเลยจึงต้องร่วมรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์ที่ ๑ เช่นเดียวกับลูกจ้าง ที่ศาลอุทธรณ์คิดดอกเบี้ยในค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์ที่ ๑ นับแต่วันทำละเมิดจึงถูกต้องแล้ว ส่วนโจทก์ที่ ๒ เป็นผู้รับประกันวินาศภัย ปรากฏว่าได้จ่ายเงินค่าซ่อมรถไปตามใบรับเงิน เอกสารหมาย จ.๑๐ เป็นเงิน ๒,๑๗๓ บาท เมื่อวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๑๐ และตามใบรับเงินเอกสารหมาย จ.๘ และ จ.๙ รวมเป็นเงิน ๓,๔๓๐ บาท เมื่อวันที่ ๖ กันยายน ๒๕๑๐ ย่อมถือได้ว่าโจทก์ที่ ๒ ได้เข้ารับช่วงสิทธิของโจทก์ที่ ๑ในวันเวลาดังกล่าวแล้ว โจทก์ที่ ๒ ชอบที่จะคิดดอกเบี้ยในจำนวนค่าสินไหมทดแทนดังกล่าว นับแต่วันเวลาดังกล่าวแล้วข้างต้น ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้คิดดอกเบี้ยในค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ที่ ๒นับแต่วันละเมิดนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย
จึงพิพากษาแก้ เฉพาะดอกเบี้ยในค่าสินไหมทดแทนที่จำเลยต้องชำระให้โจทก์ที่ ๒ เป็นให้จำเลยชำระในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในเงิน ๒,๑๗๓ บาท นับแต่วันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๑๐ และเงิน ๓,๔๓๐ บาทนับแต่วันที่ ๖ กันยายน ๒๕๑๐ จนกว่าจะชำระเงินเสร็จ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นฎีกาแทนโจทก์ทั้งสองสองร้อยบาท