คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 491/2515

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การขยายระยะเวลาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 23 นั้น ศาลจะสั่งขยายได้ต่อเมื่อมีพฤติการณ์พิเศษเท่านั้น
ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์ออกไปอีก 15 วัน โดยอ้างเหตุว่ายังคัดคำพยานและเอกสารไม่หมด เพิ่งคัดไปได้ เพียงครึ่งหนึ่ง เนื่องจากคำให้การและเอกสารมากมาย เมื่อปรากฏว่าคดีมิได้มีถ้อยคำสำนวนมากมายใหญ่โตเป็นพิเศษจนถึงกับจะเป็นเหตุให้ตรวจและทำคำฟ้องอุทธรณ์ไม่ทันในกำหนดเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้ ทั้งการคัดไม่เสร็จเกิดจากเหตุที่เพิกเฉยไม่รีบจัดการเสียแต่เมื่อฟังคำพิพากษา มิใช่เพราะถ้อยคำสำนวนมากมายจนคัดไม่ทันดังนี้ ยังถือไม่ได้ว่าเป็นพฤติการณ์พิเศษที่ศาลจะสั่งขยายระยะเวลาอุทธรณ์ออกไปให้ได้ (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 1095/2507)

ย่อยาว

คดีนี้ หลังจากศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์แล้ว ก่อนครบกำหนดอุทธรณ์ ๑ วัน โจทก์ยื่นคำร้องว่า โจทก์ได้ขอคัดคำพิพากษาของศาลคำพยานและเอกสารต่าง ๆ ศาลอนุญาตแล้ว แต่เพิ่งคัดได้เพียงครึ่งหนึ่งเนื่องจากคำให้การและเอกสารมีมากมายจำเป็นต้องใช้เวลาคัดนานเพื่อให้โจทก์มีเวลาคัดเพื่อการยื่นอุทธรณ์ จึงขอให้ศาลสั่งให้โจทก์มีเวลาต่อเวลายื่นอุทธรณ์ไปอีก ๑๕ วัน
ศาลชั้นต้นสั่งว่า อนุญาตเพียง ๑๐ วัน ให้โจทก์ยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาภายในวันที่ ๑๓ มิถุนายน ๒๕๑๒
จำเลยอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นว่าเป็นคดีอาญา ไม่อาจนำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๓ มาใช้ได้ และกรณีของโจทก์ไม่มีพฤติการณ์พิเศษประการใดขอให้สั่งยกคำสั่งของศาลชั้นต้น
วันที่ ๑๓ มิถุนายน ๒๕๑๒ โจทก์ยื่นอุทธรณ์คำพิพากษา ศาลชั้นต้นสั่งรับเป็นอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วเห็นว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๕ อนุญาตให้นำมาตรา ๒๓ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาใช้บังคับในกรณียึดอายุอุทธรณ์ในคดีอาญาด้วยและเหตุตามคำร้องของโจทก์ไม่ใช่พฤติการณ์พิเศษ ไม่ใช่เหตุอันสมควรที่จะขยายกำหนดเวลายื่นอุทธรณ์ออกไป พิพากษากลับคำสั่งศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องอุทธรณ์ของโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา ๒๑๐
โจทก์ฎีกา ขอให้กลับคำสั่งศาลอุทธรณ์ที่ไม่อนุญาตให้โจทก์ขยายเวลายื่นอุทธรณ์ออกไป ให้รับอุทธรณ์ของโจทก์ย้อนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์อ้างตามคำร้องว่า โจทก์ยังคัดคำพยานและเอกสารไม่หมด เพิ่งคัดไปได้เพียงครึ่งหนึ่ง เนื่องจากคำให้การและเอกสารมีมากมาย ศาลฎีกาพิจารณาแล้วเห็นว่าคดีนี้มิได้มีถ้อยคำสำนวนมากมายใหญ่โตเป็นพิเศษจนถึงกับจะเป็นเหตุให้โจทก์ตรวจและทำคำร้องอุทธรณ์ไม่ทันในกำหนด ๑๕ วันตามที่กฎหมายกำหนดไว้เอกสารที่จำเลยอ้างเป็นพยาน แม้จะมีหลายฉบับ โจทก์ก็ยื่นคำร้องขอตรวจดูและคัดเอกสารของจำเลยแล้วเมื่อวันที่ ๒๗ มกราคม ๒๕๑๒ และศาลชั้นต้นสั่งอนุญาตในวันเดียวกัน เชื่อว่าโจทก์ได้ตรวจดูและคัดเอกสารที่จำเลยอ้างแล้ว อนึ่ง ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาให้โจทก์จำเลยฟังตั้งแต่วันที่๒๐ พฤษภาคม ๒๕๑๒ โจทก์เฉยเสียเพิ่งจะมายื่นคำร้องขอคัดพยานโจทก์ พยานจำเลยและคำพิพากษาเมื่อวันที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๑๒ ซึ่งศาลชั้นต้นก็สั่งอนุญาตในวันนั้นมิได้ชักช้า การคัดไม่เสร็จเกิดจากเหตุที่โจทก์ไม่รีบจัดการเสียแต่เมื่อฟังคำพิพากษาต่างหาก มิใช่เป็นเพราะถ้อยคำสำนวนมีมากมายจนคัดไม่ทัน ข้ออ้างดังกล่าวของโจทก์จึงยังถือไม่ได้ว่าเป็นพฤติการณ์พิเศษตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ ๑๐๙๕/๒๕๐๗ นางสาวลำแพนอรัญวงษ์ โจทก์ นางเสมียน อรัญวงศ์ กับพวก จำเลย ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว
พิพากษายืน ให้ยกฎีกาโจทก์

Share