แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
วันนัดสืบพยานโจทก์ทั้งสองคราวโจทก์นำพยานมาศาล โดยครั้งแรกจำเลยที่ 2 ขอเลื่อนคดี แต่วันนัดสืบพยานครั้งที่สองโจทก์นำพยานมาศาลผิดเวลาเพราะจดเวลานัดสืบพยานคลาดเคลื่อนไปเป็นข้ออ้างที่มีเหตุผลสมควร เพราะวันนัดสืบพยานครั้งแรกนัดสืบพยานเวลา 13.30 นาฬิกา ส่วนครั้งหลังนัดเวลา 9 นาฬิกา การที่โจทก์ไม่มาศาลตามเวลาในวันนัดสืบพยานโจทก์ดังกล่าวยังไม่พอถือว่าโจทก์ไม่มีพยานมาสืบ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วมีคำสั่งประทับฟ้อง
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
วันนัดสืบพยานโจทก์ โจทก์ไม่มาศาล
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์ทราบวันเวลานัดแล้วไม่มาศาลโดยไม่แจ้งเหตุขัดข้องถือว่าโจทก์ไม่มีพยานมาสืบให้สมฟ้อง ข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยได้กระทำผิดตามฟ้อง พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า กรณียังถือไม่ได้ว่าโจทก์ไม่มีพยานมาสืบ ชอบที่ศาลชั้นต้นจะพิจารณาสั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 166 พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดีต่อไป
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาชั้นนี้ว่าการที่โจทก์ไม่มาศาลตามเวลาในวันนัดสืบพยานโจทก์จะถือว่าโจทก์ไม่มีพยานมาสืบหรือไม่ เห็นว่าเมื่อวันที่ 13 กันยายน 2520 เวลา 13.30 นาฬิกา ซึ่งเป็นวันนัดสืบพยานโจทก์ครั้งแรก ทนายโจทก์และพยานโจทก์มาศาล แต่จำเลยที่ 2 ป่วยขอเลื่อนการพิจารณา ศาลชั้นต้นอนุญาตให้เลื่อนไปสืบพยานโจทก์วันที่ 2 พฤศจิกายน2520 เวลา 9 นาฬิกา เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องแล้ว โจทก์ยื่นคำร้องในวันนั้นว่า ทนายโจทก์และนายเกรียงศักดิ์พยานโจทก์ซึ่งจะต้องเบิกความในวันนั้นมาศาลเวลา 13.30 นาฬิกา ทั้งนี้ เนื่องจากโจทก์จดเวลานัดสืบพยานเป็นเวลา 13.30 นาฬิกา เห็นได้ว่า วันนัดสืบพยานโจทก์ทั้งสองคราวโจทก์นำพยานมาศาล แต่วันนัดสืบพยานครั้งที่สองโจทก์นำพยานมาศาลผิดเวลาเพราะจดเวลานัดสืบพยานคลาดเคลื่อนไป อันเป็นข้ออ้างที่มีเหตุผลสมควรเพราะวันนัดสืบพยานครั้งแรกก็นัดสืบพยานเวลา 13.30 นาฬิกา พฤติการณ์ดังกล่าวยังไม่พอถือว่าโจทก์ไม่มีพยานมาสืบ ที่ศาลอุทธรณ์ย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษาใหม่ชอบแล้ว
พิพากษายืน