คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6927/2548

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้โจทก์ที่ 1 จะเสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกามาตามทุนทรัพย์ 298,000 บาท ซึ่งเป็นการรวมทุนทรัพย์ตามราคาที่ดินพิพาทจำนวน 198,000 บาท กับค่าเสียหายที่โจทก์ทั้งสามฟ้องเรียกจากจำเลยทั้งสองจำนวน 100,000 บาท เข้าด้วยกันก็ตาม แต่ฎีกาของโจทก์ที่ 1 มิได้กล่าวถึงประเด็นเรื่องค่าเสียหายว่าโจทก์ที่ 1 ยังประสงค์จะเรียกร้องค่าเสียหายจากจำเลยทั้งสองตามฟ้อง จึงเท่ากับว่า โจทก์ที่ 1 ไม่ได้ฎีกาในประเด็นค่าเสียหาย ฎีกาของโจทก์ที่ 1 มีเพียงประเด็นความเป็นเจ้าของที่ดินพิพาท เมื่อราคาที่ดินที่พิพาทอันเป็นทุนทรัพย์ในชั้นฎีกาไม่เกิน 200,000 บาท โจทก์ที่ 1 จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248 วรรคหนึ่ง

ย่อยาว

โจทก์ทั้งสามฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้พิพากษาว่า ที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 1771 ตำบลหนองบัว อำเภอกันทรารมย์ จังหวัดศรีสะเกษ เป็นมรดกของนางเพียร โจทก์ทั้งสามและจำเลยที่ 1 เป็นผู้มีสิทธิครอบครอง ให้จำเลยที่ 2 และบริวารออกจากที่ดินดังกล่าวพร้อมทั้งรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไป ห้ามจำเลยที่ 2 และบริวารเข้าเกี่ยวข้องในที่ดินดังกล่าวอีกต่อไป ให้เพิกถอนนิติกรรมระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ให้ลงชื่อโจทก์ทั้งสามเป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดินดังกล่าว ร่วมกับจำเลยที่ 1 และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าเสียหายจำนวน 100,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งสาม
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 ให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์ทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน ให้โจทก์ทั้งสามใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ 2,000 บาท แทนจำเลยที่ 2
โจทก์ที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์ทั้งสามฟ้องว่า ที่ดินพิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) ตามฟ้องเป็นทรัพย์มรดกของนางเพียร เจ้ามรดก โจทก์ทั้งสามและจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นทายาทมีสิทธิครอบครองร่วมกัน จำเลยที่ 1 นำที่ดินพิพาทไปขายให้แก่จำเลยที่ 2 โดยไม่ได้รับความยินยอมจากโจทก์ทั้งสามและทายาททำให้โจทก์ทั้งสามเสียหายคิดเป็นเงิน 100,000 บาท ขอให้เพิกถอนนิติกรรมซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ให้ลงชื่อโจทก์ทั้งสามเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทร่วมกับจำเลยที่ 1 และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสาม 100,000 บาท จำเลยที่ 2 ให้การต่อสู้ว่าที่ดินพิพาทไม่ใช่ทรัพย์มรดกของนางเพียร แต่เป็นของนายบุญมา นายบุญมายกให้จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 1 ครอบครองทำประโยชน์เพียงผู้เดียว จำเลยที่ 2 ซื้อที่ดินพิพาทมาโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน ขอให้ยกฟ้อง กรณีเป็นการฟ้องให้ได้ที่ดินพิพาทกลับมาเป็นทรัพย์มรดกเพื่อประโยชน์แก่โจทก์ทั้งสามและเรียกค่าเสียหาย คดีจึงมีทุนทรัพย์ตามราคาที่ดินพิพาทเป็นเงิน 198,000 บาท กับมีทุนทรัพย์ตามจำนวนค่าเสียหายที่เรียกร้องอีก 100,000 บาท รวมทุนทรัพย์พิพาทเป็นเงิน 298,000 บาท แม้โจทก์ที่ 1 จะเสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกามาในทุนทรัพย์รวมดังกล่าว แต่ฎีกาโจทก์ที่ 1 เพียงขอให้บังคับจำเลยทั้งสองตามคำขอท้ายฟ้องโดยมิได้กล่าวให้ชัดแจ้งในประเด็นค่าเสียหายว่า โจทก์ที่ 1 ยังประสงค์และมีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจำนวนเท่าใดจากจำเลยทั้งสองเพราะเหตุใด จึงมีผลเท่ากับว่าโจทก์ที่ 1 ไม่ได้ฎีกาในประเด็นค่าเสียหาย ฎีกาโจทก์ที่ 1 คงมีเพียงประเด็นความเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทซึ่งมีทุนทรัพย์ตามราคาที่ดินพิพาทไม่เกินสองแสนบาท ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248 วรรคหนึ่ง โจทก์ที่ 1 ฎีกาในประเด็นข้อนี้ว่าที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์มรดกของนางเพียร จำเลยที่ 1 ครอบครองที่ดินพิพาทแทนโจทก์ที่ 1 และทายาท จึงไม่มีสิทธินำที่ดินพิพาทไปขายให้จำเลยที่ 2 เป็นการโต้แย้งปัญหาข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกฟ้อง โดยวินิจฉัยรับฟังข้อเท็จจริงว่าที่ดินพิพาทเป็นของนายบุญมายกให้จำเลยที่ 1 โจทก์ทั้งสามไม่มีสิทธิในที่ดินพิพาท ฎีกาโจทก์ที่ 1 จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงที่ต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายกฎีกาโจทก์ที่ 1 คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาให้โจทก์ที่ 1 ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกานอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ.

Share