แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ตาม พ.ร.บ.การปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2518 มาตรา 36 ทวิ วรรคหนึ่ง กำหนดให้สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินที่ได้มาก็เพื่อให้สามารถนำไปใช้ในการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม มิได้มุ่งหมายให้สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมมีกรรมสิทธิ์เช่นเดียวกับเจ้าของทรัพย์สินทั่วไปที่มีสิทธิใช้สอย จำหน่ายตาม ป.พ.พ. มาตรา 1336 ดังนั้น เมื่อที่ดินพิพาทเดิมเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทพลเมืองใช้ร่วมกัน แม้ถูกเพิกถอนสภาพจากการเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินอันเนื่องจากการดำเนินการตาม พ.ร.บ.การปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2518 มาตรา 26 (4) ก็ตาม ก็ยังคงเป็นที่ดินของรัฐอยู่เพียงแต่เปลี่ยนประเภทของที่ดินวัตถุประสงค์และการใช้ประโยชน์ในที่ดินและเปลี่ยนหน่วยงานของรัฐที่จะเป็นผู้จัดให้ใช้ประโยชน์เท่านั้น
	เมื่อที่ดินพิพาทเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน และเป็นที่ดินของรัฐแล้วย่อมต้องห้ามมิให้บุคคลทั่วไปยกอายุความขึ้นเป็นข้อต่อสู้กับแผ่นดินตาม ป.พ.พ. มาตรา 1306 หากการออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงเป็นการออกทับที่ดินที่บิดาจำเลยและจำเลยมีสิทธิครอบครองจริง ก็เป็นเรื่องที่จะต้องไปดำเนินการขอเพิกถอนหรือแก้ไขตามระเบียบกรมที่ดินว่าด้วยการเพิกถอนหรือแก้ไขหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง พ.ศ.2529 และฟ้องขอให้เพิกถอนหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงเท่านั้น หาใช่ฝ่าฝืนที่จะอยู่ในที่ดินของรัฐต่อไปได้ไม่
	การที่จำเลยบุกรุกเข้าไปครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทซึ่งเป็นที่ดินของรัฐแต่ไม่ใช่ที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ประชาชนใช้ร่วมกันหรือที่ใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะ การกระทำของจำเลยย่อมเป็นความผิดตามมาตรา 108 ทวิ วรรคหนึ่ง เท่านั้น ทั้งการครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทก็เป็นการครอบครองต่อเนื่องจากบิดาของจำเลยที่ครอบครองทำประโยชน์มาก่อนนานแล้ว จึงมีสาเหตุที่ทำให้จำเลยอาจเข้าใจไปได้ว่าจำเลยมีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทมาก่อน และการออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงเมื่อปี 2535 เป็นการออกทับที่ดินของจำเลย พฤติการณ์ในการกระทำความผิดของจำเลยจึงไม่ร้ายแรงนัก กรณีจึงมีเหตุสมควรรอการลงโทษให้จำเลย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายที่ดิน  มาตรา  ๙,  ๑๐๘  ทวิ  ให้จำเลย
และบริวารออกไปจากที่ดินที่ยึดถือครอบครองดังกล่าว
   	จำเลยให้การปฏิเสธ
   	ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า  จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา  ๙,  ๑๐๘  ทวิ  วรรคสอง  ลงโทษจำคุก  ๑  ปี  แม้ไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน  แต่การที่จำเลยได้รับการแจ้งเตือนเป็นหนังสือจากนายกองค์การบริหารส่วนตำบลดงมะไฟให้หยุดกระทำการบุกรุกแผ้วถางแต่จำเลยไม่ยอมหยุดทั้งที่ทราบว่าที่ดินพิพาทเป็นที่สาธารณประโยชน์พฤติการณ์ไม่สมควรรอการลงโทษให้  ให้จำเลยหรือบริวารออกไปจากที่ดินที่เข้าไปยึดถือครอบครอง
   	จำเลยอุทธรณ์
   	ศาลอุทธรณ์ภาค  ๓  พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
   	โจทก์ฎีกา
   	ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้ฎีกาโต้แย้งฟังได้ว่า  เดิมที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินสาธารณสมบัติแผ่นดินประเภทพลเมืองใช้ร่วมกัน ตั้งอยู่ที่บ้านดงมะไฟ  (หมู่ที่  ๘)  ตำบลดงมะไฟ  กิ่งอำเภอทรายมูล  จังหวัดยโสธร  ซึ่งมีเนื้อที่รวม  ๗๐๐  ไร่  ๒  งาน  ๓๓  ตารางวา  และในที่ดินสาธารณสมบัติของแผ่นดินดังกล่าวมีราษฎรเข้าไปทำกินหลายรายรวมทั้งจำเลย  ต่อมาได้มีการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในท้องที่ตำบลดงมะไฟ  ตำบลคู่ลาด  ตำบลทรายมูล  อำเภอทรายมูล  จังหวัดยโสธร  ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน  พ.ศ.๒๕๔๒  ซึ่งตามพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม  พ.ศ.๒๕๑๘  มาตรา  ๒๖  (๑)  อันเป็นบทกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะที่พระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในท้องที่ตำบลดงมะไฟ  ตำบลคู่ลาด  ตำบลทรายมูล  อำเภอทรายมูล  จังหวัดยโสธร  ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดินบังคับใช้  บัญญัติให้ที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันที่อยู่ในเขตปฏิรูปที่ดินนั้น ถูกเพิกถอนสภาพจากการเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันโดยมิต้องดำเนินการถอนสภาพตามประมวลกฎหมายที่ดิน  และให้สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม  (ส.ป.ก.)  มีอำนาจนำที่ดินนั้นมาใช้ในการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมได้โดยมาตรา  ๓๖  ทวิ  วรรคหนึ่ง  กำหนดให้สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินที่ได้มาดังกล่าว  ซึ่งต่อมาสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมก็ได้ออกเอกสารสิทธิ  (ส.ป.ก. ๔ – ๐๑)  ให้แก่ราษฎรบางรายที่เข้าไปทำกินในที่ดินสาธารณสมบัติของแผ่นดินดังกล่าวแล้ว
    มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า  ที่ดินพิพาทซึ่งถูกเพิกถอนสภาพจากการเป็น
สาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทพลเมืองใช้ร่วมกัน  ยังเป็นที่ดินของรัฐตามประมวลกฎหมายที่ดิน  มาตรา  ๒  อันจะทำให้ผู้บุกรุกมีความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน  มาตรา  ๙,  ๑๐๘  ทวิ  อยู่หรือไม่  เห็นว่า  ตามพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมฯ  มาตรา  ๓๖  ทวิ  วรรคหนึ่ง  ที่กำหนดให้สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินที่ได้มาก็เพื่อให้สามารถนำไปใช้ในการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม  มิได้มุ่งหมายให้สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมมีกรรมสิทธิ์เช่นเดียวกับเจ้าของทรัพย์สินทั่วไปที่มีสิทธิใช้สอย  จำหน่ายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา  ๑๓๓๖  ดังนั้น  เมื่อที่ดินพิพาทเดิมเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทพลเมืองใช้ร่วมกัน  แม้ถูกเพิกถอนสภาพจากการเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินอันเนื่องจากการดำเนินการตามพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมฯ  มาตรา  ๒๖  (๔)  ก็ตาม  ก็ยังคงเป็นที่ดินของรัฐอยู่เพียงแต่เปลี่ยนประเภทของที่ดินวัตถุประสงค์และการใช้ประโยชน์ในที่ดินและเปลี่ยนหน่วยงานของรัฐที่จะเป็นผู้จัดให้ใช้ประโยชน์เท่านั้น  ที่ศาลอุทธรณ์ภาค  ๓  วินิจฉัยว่า  ที่ดินพิพาทไม่ใช่ที่ดินของรัฐ  การกระทำของจำเลยไม่อาจเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน  มาตรา  ๙,  ๑๐๘  ทวิ  ดังที่โจทก์ฟ้องนั้น  ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย  ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
   	เมื่อศาลฎีกาฟังว่าที่ดินพิพาทยังคงเป็นที่ดินของรัฐ  คดีจึงมีปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปว่า  จำเลยบุกรุกเข้าไปยึดถือครอบครองที่ดินของรัฐอันเป็นความผิดตามฟ้องหรือไม่  เนื่องจากศาลอุทธรณ์ภาค  ๓  พิพากษายกฟ้อง  จึงไม่ได้วินิจฉัยในส่วนของปัญหานี้  แต่เมื่อศาลฎีกาเห็นว่า ที่ดินพิพาทยังเป็นที่ดินของรัฐและเห็นว่า  โจทก์จำเลยสืบพยานมาจนสิ้นกระแสความแล้ว  ไม่ควรย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค  ๓  วินิจฉัยโดยเห็นควรวินิจฉัยให้เสร็จสิ้นไปเสียเอง  พยานโจทก์ทุกปากเบิกความสอดคล้องต้องกัน  และพยานโจทก์ส่วนใหญ่จะเป็นเจ้าพนักงานของรัฐ  ซึ่งมีหน้าที่ดูแลรักษาสาธารณสมบัติของแผ่นดินซึ่งน่าจะต้องเบิกความไปตามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น  ประกอบกับบริเวณที่ดินพิพาทมีหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง แสดงยืนยันว่าเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทพลเมืองใช้ร่วมกัน  จากพฤติการณ์ที่จำเลยยอมรับว่า  ได้ยึดถือครอบครองที่สาธารณประโยชน์จริง  แต่เมื่อมีหนังสือแจ้งเตือนให้จำเลยหยุดกระทำจำเลยก็ยังบุกรุกเข้าไปแผ้วถางที่ดินสาธารณประโยชน์เพิ่มขึ้นจากเดิมอีกย่อมมีเหตุผลบ่งชี้ว่าจำเลยมีเจตนาบุกรุกที่สาธารณประโยชน์หรือที่ดินของรัฐเพื่อยึดถือครอบครองอันเป็นความผิดตามที่โจทก์ฟ้องแล้ว  ที่จำเลยนำสืบต่อสู้และอุทธรณ์ว่า  บิดาจำเลยเข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทโดยสงบเปิดเผยมีเจตนาเป็นเจ้าของมาเกินกว่า  ๑  ปี  ก่อนที่ทางราชการจะออกเอกสารสำคัญสำหรับที่หลวงและเมื่อบิดาจำเลยถึงแก่ความตาย  จำเลยก็ได้เข้าครอบครองและทำประโยชน์ต่อเนื่องจากบิดา  บิดาจำเลยย่อมได้สิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทและตกทอดแก่จำเลยซึ่งเป็นทายาทแล้ว  การประกาศเป็นที่หลวงจึงเป็นการประกาศทับที่ดินที่บิดาจำเลยและจำเลยมีสิทธิครอบครองทั้งแปลงนั้น เห็นว่า  เมื่อที่ดินพิพาทเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน  และเป็นที่ดินของรัฐแล้วย่อมต้องห้ามมิให้บุคคลทั่วไปยกอายุความขึ้นเป็นข้อต่อสู้กับแผ่นดินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา  ๑๓๐๖  หากการออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงเป็นการออกทับที่ดินที่บิดาจำเลยและจำเลยมีสิทธิครอบครองจริง  ก็เป็นเรื่องที่จะต้องไปดำเนินการขอเพิกถอนหรือแก้ไขตามระเบียบกรมที่ดินว่าด้วยการเพิกถอนหรือแก้ไขหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง  พ.ศ.๒๕๒๙  และฟ้องขอให้เพิกถอนหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงเท่านั้น  หาใช่ฝ่าฝืนที่จะอยู่ในที่ดินของรัฐต่อไปได้ดังที่จำเลยกระทำไม่  ข้อต่อสู้และอุทธรณ์ของจำเลยจึงฟังไม่ขึ้น
   	อย่างไรก็ตาม  การที่จำเลยบุกรุกเข้าไปครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทซึ่งเป็นที่ดินของรัฐแต่ไม่ใช่ที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ประชาชนใช้ร่วมกันหรือที่ใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะ  การกระทำของจำเลยย่อมเป็นความผิดตามมาตรา  ๑๐๘  ทวิ  วรรคหนึ่ง  เท่านั้น  ทั้งการครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทก็เป็นการครอบครองต่อเนื่องจากบิดาของจำเลยที่ครอบครองทำประโยชน์มาก่อนนานแล้ว  จึงมีสาเหตุที่ทำให้จำเลยอาจเข้าใจไปได้ว่าจำเลยมีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทมาก่อน
และการออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงเมื่อปี  ๒๕๓๕  เป็นการออกทับที่ดินของจำเลย พฤติการณ์ในการกระทำความผิดของจำเลยจึงไม่ร้ายแรงนัก  ประกอบกับจำเลยเป็นผู้ที่ประกอบอาชีพเป็นกิจจะลักษณะ  เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน  กรณีจึงมีเหตุสมควรรอการลงโทษให้จำเลยดังที่จำเลยกล่าวแก้ฎีกา  และที่ศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกจำเลย  ๑  ปีนั้น  ก็ยังหนักเกินไป  จึงเห็นควรลดโทษจำคุกให้จำเลยลงและรอการลงโทษจำคุกให้จำเลยด้วย  แต่เพื่อให้จำเลยหลาบจำและเป็นการป้องกันมิให้จำเลยกลับมากระทำผิดอีกให้ลงโทษปรับและคุมความประพฤติจำเลยไว้ด้วย
   	พิพากษากลับว่า  จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน  มาตรา  ๙, ๑๐๘  ทวิ  วรรคหนึ่ง  ให้จำคุก  ๘  เดือน  และปรับ  ๔,๐๐๐  บาท  โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด  ๒  ปี  ให้คุมความประพฤติจำเลยมีกำหนด  ๑  ปี  โดยให้จำเลยไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติ  ๓  เดือนต่อครั้ง  และให้จำเลยกระทำกิจกรรมบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์เป็นเวลา  ๒๔  ชั่วโมง  ตามที่พนักงาน
คุมประพฤติและจำเลยเห็นสมควรตามประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา  ๕๖  ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา  ๒๙,  ๓๐  ให้จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินที่ยึดถือครอบครอง

