คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1397/2534

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

แม้ศาลชั้นต้นจะมิได้วินิจฉัยประเด็นเรื่องค่าเสียหายเนื่องจากศาลชั้นต้นไม่เชื่อว่าจำเลยทำสัญญาเช่าซื้อกับโจทก์จึงไม่จำต้องวินิจฉัยประเด็นดังกล่าว แต่ประเด็นข้อนี้ก็ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในคำฟ้องของโจทก์และคำให้การของจำเลย ทั้งอุทธรณ์ของโจทก์ระบุว่าโจทก์ได้รับความเสียหายขอให้ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้โจทก์ได้รับชำระหนี้ตามฟ้องซึ่งถือว่าโจทก์อุทธรณ์ในปัญหาดังกล่าวแล้ว ศาลอุทธรณ์จึงมีอำนาจให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เช่าซื้อรถยนต์ยี่ห้อเฟี๊ยต 1500หมายเลขทะเบียน กท. ฉ-4620 กรุงเทพมหานคร ไปจากโจทก์ในราคา27,216 บาท ตกลงชำระค่าเช่าซื้อ 24 งวด งวดละ 1,134 บาทชำระค่าเช่าซื้อทุกวันที่ 10 ของแต่ละเดือน เริ่มชำระงวดแรกวันที่ 10 มีนาคม 2520 จนกว่าจะครบ จำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกันการชำระหนี้ของจำเลยที่ 1 โดยยอมรับผิดกับจำเลยที่ 1อย่างลูกหนี้ร่วมกัน จำเลยที่ 1 ชำระค่าเช่าซื้อให้โจทก์เพียง11 งวด แล้วไม่ชำระเกินกว่า 2 งวดติดต่อกัน โจทก์จึงบอกเลิกสัญญาและแจ้งให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้ให้โจทก์แล้ว แต่จำเลยทั้งสองเพิกเฉยและไม่ส่งมอบรถที่เช่าซื้อคืน ทำให้โจทก์ขาดประโยชน์จากการนำรถไปให้ผู้อื่นเช่าซึ่งอาจได้ค่าเช่าเดือนละ 700 บาทขอคิดค่าเสียหายเดือนละ 700 บาท นับแต่วันบอกเลิกสัญญาถึงวันฟ้องเป็นเวลา 22 เดือน รวมเป็นเงิน 15,400 บาท จำเลยทั้งสองมีหน้าที่คืนรถยนต์ให้โจทก์ หากคืนไม่ได้ขอให้ใช้ราคา 14,742 บาทขอให้จำเลยทั้งสองคืนรถยนต์ที่เช่าซื้อให้โจทก์ หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคา 14,742 บาท ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหาย15,400 บาท และค่าเสียหายเดือนละ 700 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยทั้งสองจะส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนหรือชดใช้ราคาให้โจทก์ จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณาจำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยทั้งสองไม่เคยทำสัญญาเช่าซื้อและสัญญาค้ำประกันตามฟ้อง โจทก์ไม่ใช่เจ้าของรถยนต์ โจทก์ไม่เคยทวงถามและบอกเลิกสัญญา โจทก์มิได้ฟ้องคดีภายใน 6 เดือนนับแต่บอกเลิกสัญญา คดีจึงขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วเห็นว่า พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมายังไม่พอรับฟังว่าจำเลยที่ 1 ทำสัญญาเช่าซื้อ และจำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกันพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับว่าให้จำเลยทั้งสองร่วมกันส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนให้โจทก์หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคา 12,000 บาท ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าขาดประโยชน์แก่โจทก์ก่อนฟ้องเป็นเงิน 11,000 บาทและนับถัดจากวันฟ้องอีกเดือนละ 500 บาท จนกว่าจะคืนหรือใช้ราคารถให้โจทก์ แต่ไม่เกิน 2 ปี จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาว่า การที่ศาลอุทธรณ์กำหนดให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าเสียหายและให้คืนรถยนต์พิพาทแก่โจทก์ไม่ชอบด้วยวิธีพิจารณาเฉพาะศาลชั้นต้นยังมิได้วินิจฉัย และโจทก์ก็มิได้อุทธรณ์ในประเด็นดังกล่าวหรือไม่ เห็นว่า แม้ศาลชั้นต้นจะมิได้วินิจฉัยในประเด็นข้อนี้ โดยศาลชั้นต้นไม่เชื่อว่าจำเลยทั้งสองได้ทำสัญญารายพิพาทกับโจทก์ตามฟ้องจึงไม่จำต้องวินิจฉัยประเด็นดังกล่าว แต่ก็ถือได้ว่าประเด็นข้อนี้ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในคำฟ้องของโจทก์และคำให้การของจำเลยที่ 2ศาลอุทธรณ์มีอำนาจที่จะวินิจฉัยปัญหาข้อนี้ได้ ที่จำเลยที่ 2ฎีกาว่า โจทก์มิได้อุทธรณ์ในปัญหาข้อนี้นั้น เห็นว่าอุทธรณ์ของโจทก์ได้ระบุไว้ด้วยว่า โจทก์ได้รับความเสียหายตามฟ้องขอให้ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้โจทก์ได้รับชำระหนี้ตามฟ้องของโจทก์ ถือได้ว่าโจทก์ได้อุทธรณ์ในปัญหาดังกล่าวแล้วศาลอุทธรณ์จึงมีอำนาจวินิจฉัยปัญหานี้ได้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share