คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1396/2535

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์จำเลยแต่งงานกันโดยไม่จดทะเบียนสมรส หลังจากนั้นได้เช่าร้านพิพาทพักอาศัย และร่วมทำการค้าในร้านพิพาทด้วยกันเรื่อยมา ดังนั้น สิทธิการเช่าร้านพิพาทจึงเป็นทรัพย์สินของโจทก์จำเลยร่วมกัน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จำเลยอยู่กินฉันสามีภรรยาโดยไม่จดทะเบียนสมรส ระหว่างอยู่กินโจทก์เช่าบ้านพิพาทเพื่อประกอบกิจการค้าร่วมกัน ต่อมาจำเลยประพฤติตนไม่เหมาะสมขัดขวางต่อการอยู่ร่วมกันฉันสามีภรรยา โจทก์จำเลยจึงตกลงเลิกร้างกัน โดยโจทก์ขอให้จำเลยออกจากบ้านเช่า จำเลยไม่ยินยอม โจทก์จำเลยจึงตกลงกันโดยให้จำเลยคืนเงินโจทก์จำนวนหนึ่ง และโจทก์ได้ออกจากบ้านเช่าไปแล้วจำเลยผิดนัดไม่ชำระเงินแก่โจทก์ ทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้ศาลพิพากษาขับไล่จำเลยและให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า เคยอยู่กินฉันสามีภรรยากับโจทก์จริง แต่ตกลงเลิกร้างกันหรือไม่ ไม่ทราบและไม่รับรอง โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะโจทก์ลงชื่อในสัญญาเช่าบ้านกับผู้ให้เช่าในฐานะที่จำเลยเป็นเจ้าของร่วมกัน จำเลยไม่เคยผิดนัดหรือผิดสัญญาก่อนโจทก์ฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาขับไล่จำเลยและบริวารออกจากบ้านเลขที่ 87-89 ถนนปัตตานีภิรมย์ ตำบลอาเบาะรู อำเภอเมืองปัตตานี จังหวัดปัตตานี และส่งมอบบ้านคืนแก่โจทก์ในสภาพที่เรียบร้อยและห้ามมิให้จำเลยเกี่ยวข้อง กับให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายและคืนเงินทุนแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ แต่ไม่ตัดสิทธิที่โจทก์จะนำคดีไปฟ้องร้องจำเลยเกี่ยวกับสิทธิในห้องพิพาทต่อไป
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์และจำเลยได้พักอาศัยและร่วมทำการค้าอยู่ในร้านพิพาทด้วยกันเรื่อยมา พฤติการณ์ดังกล่าวเห็นได้ว่าสิทธิการเช่าร้านพิพาทเป็นทรัพย์ที่หามาได้โดยโจทก์และจำเลยมีเจตนาเป็นเจ้าของร่วมกัน การที่โจทก์ลงชื่อเป็นผู้เช่าร้านพิพาทแต่เพียงผู้เดียว ไม่เป็นข้อสันนิษฐานว่าจำเลยไม่มีส่วนร่วมด้วยสิทธิการเช่าร้านพิพาทเป็นของโจทก์และจำเลยร่วมกัน โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายจากจำเลยได้
พิพากษาแก้เป็นว่า ไม่ตัดสิทธิที่โจทก์จะนำคดีไปฟ้องร้องจำเลยเกี่ยวกับสิทธิสินค้าในร้านพิพาทภายในกำหนดอายุความ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3

Share