แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์เป็นผู้ผลิตและระบุองค์ประกอบรวมทั้งแสดงข้อบ่งใช้ไว้ในฉลากย่อมต้องมีภาระที่จะต้องพิสูจน์ให้เห็นว่ายาฆ่าเชื้ออัล-ไบโอไซด์ 25 มีส่วนประกอบตามที่ระบุไว้จริง ที่ศาลชั้นต้นกำหนดให้จำเลยมีภาระการพิสูจน์จึงไม่ถูกต้อง และเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจแก้ไขและวินิจฉัยไปตามภาระการพิสูจน์ที่ถูกต้องได้
เมื่อโจทก์มีภาระการพิสูจน์ แต่ไม่สามารถพิสูจน์ให้เห็นได้ว่า ย่าฆ่าเชื้ออัล-ไบโอไซด์ 25 มีสารกลูตารัลดีไฮด์เป็นองค์ประกอบอยู่ 12.5 เปอร์เซนต์ ตามที่ระบุไว้ในฉลากจึงต้องถือว่าโจทก์ส่งมอบสินค้าที่ซื้อไม่ถูกต้องตามวัตถุประสงค์ของสัญญา โจทก์จึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา และเมื่อสัญญาซื้อขายเป็นสัญญาต่างตอบแทน จำเลยย่อมมีสิทธิที่จะไม่ชำระราคาได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 369
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 1,387,747.81 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 1,336,788.75 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การแก้ไขคำให้การขอให้ยกฟ้อง และฟ้องแย้งขอให้บังคับโจทก์ชำระเงินตามฟ้องแย้ง 3,497,090.63 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 3,405,424.08 บาท นับถัดจากวันฟ้องแย้งเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลย
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ 1,387,747.81 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงิน 1,336,788.75 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 17 ธันวาคม 2541) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 30,000 บาท ให้ยกฟ้องแย้งของจำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมในส่วนฟ้องแย้งให้เป็นพับ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความในชั้นอุทธรณ์แทนโจทก์ 10,000 บาท
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่ได้โต้เถียงกันในชั้นฎีการับฟังได้ว่า จำเลยประกอบกิจการทำฟาร์มเลี้ยงไก่ จำเลยซื้อยาฆ่าเชื้ออัล-ไบโอไซด์ 25 และยาปฏิชีวนะโคไลม็อกเพื่อใช้ฆ่าเชื้อโรคและป้องกันโรคที่เกิดแก่ไก่จากโจทก์หลายครั้ง แต่ยังไม่ได้ชำระราคาค่าสินค้าที่สั่งซื้อให้แก่โจทก์ ต่อมาโจทก์ทวงถามให้จำเลยชำระค่าสินค้าดังกล่าว จำเลยไม่ชำระโดยอ้างว่า หลังจากซื้อยาฆ่าเชื้ออัล-ไบโอไซด์ 25 จากโจทก์ไปใช้ ไก่ที่เลี้ยงมีอัตราการตายสูงกว่าค่าเฉลี่ยปกติ ต่อมาบริษัทในเครือของจำเลยได้ส่งยาฆ่าเชื้อดังกล่าวไปให้กองวัตถุมีพิษการเกษตร กรมวิชาการเกษตร ตรวจวิเคราะห์หาสารกลูตารัลดีไฮด์ ซึ่งมีประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อโรคว่ามีอยู่ในส่วนผสมของยาฆ่าเชื้ออัล-ไบโอไซด์ 25 ตามที่โจทก์ระบุไว้ในฉลากหรือไม่ ผลการตรวจวิเคราะห์ปรากฏว่าไม่พบสารกลูตารัลดีไฮด์อยู่ในส่วนผสมของยาฆ่าเชื้อดังกล่าว จำเลยจึงไม่ชำระหนี้ให้แก่โจทก์
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยเป็นประการแรกมีว่า จำเลยต้องรับผิดชำระหนี้ให้แก่โจทก์ตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า ฉลากของยาฆ่าเชื้ออัล-ไบโอไซด์ 25 ระบุถึงส่วนประกอบของยาว่าประกอบด้วย สารกลูตารัลดีไฮด์ 12.5 เปอร์เซ็นต์ สารอัลคิล ไดเมทิลเบนซิล แอมโมเนียมคลอไรด์ 12.5 เปอร์เซ็นต์ น้ำมันสน 2 เปอร์เซ็นต์ นอกจากนั้นเป็นตัวทำลาย แสดงว่าสารกลูตารัลดีไฮด์เป็นส่วนประกอบสำคัญในการผลิตยาอัล-ไบโอไซด์ 25 นอกจากนี้ในข้อบ่งใช้ที่ระบุไว้ในฉลากก็ระบุว่า ยาฆ่าเชื้ออัล-ไบโอไซด์ 25 ประกอบด้วยยาฆ่าเชื้อ 2 ชนิดรวมกัน การที่โจทก์เป็นผู้ผลิตและระบุองค์ประกอบรวมทั้งแสดงข้อบ่งใช้ไว้ในฉลากย่อมต้องมีภาระที่จะต้องพิสูจน์ให้เห็นว่ายาฆ่าเชื้ออัล-ไบโอไซด์ 25 มีส่วนประกอบตามที่ระบุไว้จริง การที่ศาลชั้นต้นกำหนดให้จำเลยมีภาระการพิสูจน์เป็นการไม่ถูกต้อง ปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาจึงมีอำนาจแก้ไขและวินิจฉัยไปตามภาระการพิสูจน์ที่ถูกต้องได้
เมื่อโจทก์มีภาระการพิสูจน์ แต่ไม่สามารถพิสูจน์ให้เห็นได้ว่า ยาฆ่าเชื้ออัล-ไบโอไซด์ 25 มีสารกลูตารัลดีไฮด์เป็นองค์ประกอบอยู่ 12.5 เปอร์เซ็นต์ ตามที่ระบุไว้ในฉลาก จึงต้องถือว่าโจทก์ส่งมอบสินค้าที่ซื้อไม่ถูกต้องตามวัตถุประสงค์ของสัญญา โจทก์จึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา และเมื่อสัญญาซื้อขายเป็นสัญญาต่างตอบแทน จำเลยย่อมมีสิทธิที่จะไม่ชำระราคาได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 369 การที่จำเลยไม่ชำระราคาค่ายาฆ่าเชื้ออัล-ไบโอไซด์ 25 ให้แก่โจทก์จึงไม่ถือว่าจำเลยผิดนัดอันโจทก์จะมีอำนาจฟ้องจำเลยให้รับผิดในส่วนนี้ได้ ในส่วนค่าสินค้ารายการอื่นที่โจทก์ส่งมอบให้แก่จำเลยและจำเลยยังไม่ได้ชำระราคาให้นั้น เมื่อไม่ปรากฏว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาต่อจำเลย จำเลยจึงมีหน้าที่ต้องชำระค่าสินค้าตามบัญชีการสั่งซื้อสินค้า ส่งสินค้า และใบรับวางบิลรายการที่ 2, 4, 6, 7, 10, 12, 13 และ 14 จำนวนเงิน 1,021,424.75 บาท พร้อมดอกเบี้ยตามตารางรายการคิดดอกเบี้ยของโจทก์เอกสารหมาย จ.13 จำนวน 37,531.28 บาท รวม 1,058,956.03 บาท ให้แก่โจทก์ ฎีกาของจำเลยในข้อนี้ฟังขึ้นบางส่วน…
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยรับผิดชำระเงินจำนวน 1,058,956.03 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 1,021,424.75 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ