แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
ตามบทบัญญัติในมาตรา 22 และ 24 แห่ง พ.ร.บ. ล้มละลายฯ ได้กำหนดไว้โดยแจ้งชัดว่า เมื่อลูกหนี้ถูกพิทักษ์ทรัพย์แล้ว ลูกหนี้หามีอำนาจต่อสู้คดีใด ๆ หรือกระทำการใด ๆ เกี่ยวกับทรัพย์สินของตนไม่ เพราะกฎหมายบัญญัติให้เป็นอำนาจของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แต่ผู้เดียว ดังนั้น จำเลยจึงไม่มีอำนาจดำเนินกระบวนพิจารณาเกี่ยวกับทรัพย์สินของตนได้ ไม่ว่าในชั้นพิจารณาหรือชั้นบังคับคดี การที่จำเลยยื่นคำร้องขอให้งดการขายทอดตลาดทรัพย์พิพาทที่เจ้าพนักงานบังคับคดีประกาศขายทอดตลาดและดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลชั้นต้นที่สืบเนื่องต่อมาจนถึงการยื่นอุทธรณ์และยื่นฎีกาเป็นการดำเนินการภายหลังจากที่จำเลยถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้ว จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดกล่าวอ้างศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยให้ยกกระบวนพิจารณาทั้งหมด และยกคำร้องของจำเลยได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5) ประกอบด้วยมาตรา 246, 247
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความให้จำเลยชำระเงินไถ่ถอนจำนองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 1125 พร้อมสิ่งปลูกสร้างจำนวน 417,098 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18 ต่อปี ของต้นเงิน 253,418 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่จำเลยไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา โจทก์ขอหมายบังคับคดีและนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างของจำเลยที่จดทะเบียนจำนองไว้ดังกล่าวออกขายทอดตลาดชำระหนี้แก่โจทก์
จำเลยยื่นคำร้องว่า จำเลยถูกฟ้องในคดีล้มละลายและศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดตามคดีหมายเลขแดงที่ ล. 12/2540 ของศาลชั้นต้น โจทก์มิได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดหนี้ระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นอันระงับไป โจทก์ไม่มีอำนาจยึดทรัพย์ของจำเลยออกขายทอดตลาดเพื่อชำระหนี้โจทก์ ขอให้งดการขายทอดตลาด
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า โจทก์เป็นเจ้าหนี้มีประกันมีสิทธิเหนือที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 1125 พร้อมสิ่งปลูกสร้าง อันเป็นหลักประกันที่จำเลยได้จำนองไว้ก่อนถูกพิทักษ์ทรัพย์ โดยไม่ต้องขอชำระหนี้ตามความในมาตรา 95 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช 2483 การที่โจทก์ไม่ยื่นคำขอชำระหนี้ในคดีล้มละลายไม่ถือว่าเป็นการปลดหนี้ให้จำเลยแต่อย่างใด ให้ยกคำร้อง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติว่า ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2538 คดีถึงที่สุดแล้ว ต่อมาเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2540 จำเลยได้ถูกศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดในคดีล้มละลายเรื่องอื่น ที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์ไม่ได้ขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายทำให้หนี้ระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นอันระงับไป โจทก์จึงไม่มีอำนาจที่จะขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดทรัพย์ของจำเลยเพื่อนำมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์นั้น เห็นว่า ตามบทบัญญัติในมาตรา 22 และ 24 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช 2483 ได้กำหนดไว้โดยแจ้งชัดว่า เมื่อลูกหนี้ถูกพิทักษ์ทรัพย์แล้ว ลูกหนี้หามีอำนาจต่อสู้คดีใด ๆ หรือกระทำการใด ๆ เกี่ยวกับทรัพย์สินของตนไม่ เพราะกฎหมายบัญญัติให้เป็นอำนาจของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แต่ผู้เดียว ดังนั้น จำเลยจึงไม่มีอำนาจดำเนินกระบวนการพิจารณาเกี่ยวกับทรัพย์สินของตนได้ ไม่ว่าในชั้นพิจารณาหรือชั้นบังคับคดี จำเลยไม่มีสิทธิยื่นคำร้องคดีนี้ การที่จำเลยยื่นคำร้องขอให้งดการขายทอดตลาดทรัพย์พิพาทที่เจ้าพนักงานบังคับคดีประกาศขายทอดตลาดและดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลชั้นต้นที่สืบเนื่องต่อมาจนถึงการยื่นอุทธรณ์และยื่นฎีกาภายหลังจากที่จำเลยถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้ว จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ปัญหาข้อนี้เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้โดยไม่ต้องมีคู่ความฝ่ายใดกล่าวอ้างตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) ประกอบด้วยมาตรา 246, 247 และเมื่อศาลฎีกาวินิจฉัยดังกล่าวแล้วจึงไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของจำเลยอีกต่อไป เพราะไม่ทำให้ผลแห่งคดีเปลี่ยนแปลง”
พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้น ยกอุทธรณ์ของจำเลย ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 กับให้ยกฎีกาของจำเลยและให้ยกคำร้องขอของจำเลยฉบับลงวันที่ 15 พฤศจิกายน 2545 เสียด้วย