คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2866/2549

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ภายหลังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืนตามคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้อายัดเงินไว้ชั่วคราวก่อนพิพากษาแล้ว ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์และยกฟ้องแย้งจำเลย ซึ่งถือได้ว่าจำเลยชนะคดีในส่วนที่โจทก์ฟ้อง โจทก์มิได้ยื่นคำขอต่อศาลชั้นต้นภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา เพื่อแสดงว่าโจทก์ประสงค์จะยื่นอุทธรณ์คำพิพากษา และมีเหตุอันสมควรที่ศาลจะมีคำสั่งให้วิธีการชั่วคราวเช่นว่านั้นยังคงมีผลบังคับต่อไป ดังนั้น คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้อายัดเงินไว้ชั่วคราวก่อนพิพากษาจึงเป็นอันยกเลิกไปเมื่อพ้นกำหนดเจ็ดวันนับแต่วันที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 260 (1) แล้ว

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชำระหนี้ค่าจ้างที่ว่าจ้างให้โจทก์ก่อสร้างและติดตั้งระบบไฟฟ้า ณ ที่ทำการไปรษณีย์โทรเลขอ่าวอุดมเป็นเงิน 980,150 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ในวันเดียวกับที่ยื่นคำฟ้องโจทก์ยื่นคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวในเหตุฉุกเฉิน ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งให้อายัดเงินค่าก่อสร้างที่จำเลยทั้งสองมีสิทธิได้รับจากการสื่อสารแห่งประเทศไทยไว้ชั่วคราวก่อนพิพากษา และให้มีหมายอายัดชั่วคราวถึงการสื่อสารแห่งประเทศไทย ต่อมาจำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอให้ยกเลิกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวรวม 2 ครั้ง อ้างเหตุทำนองเดียวกันว่า จำเลยทั้งสองมิใช่ผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัวตามที่โจทก์กล่าวอ้าง และยังคงประกอบธุรกิจด้านรับเหมาก่อสร้างอยู่ ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งให้ยกคำร้องของจำเลยทั้งสอง
ผู้ร้องและจำเลยทั้งสองต่างยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนหมายอายัดชั่วคราวและคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษา โดยผู้ร้องอ้างว่า ผู้ร้องกับนายมนูญ เสลานนท์ เป็นผู้รับโอนสิทธิเรียกร้องในเงินค่าก่อสร้างที่จำเลยทั้งสองมีสิทธิได้รับจากการสื่อสารแห่งประเทศไทยมาจากจำเลยทั้งสอง และจำเลยทั้งสองอ้างว่า จำเลยทั้งสองได้โอนสิทธิเรียกร้องดังกล่าวให้แก่ผู้ร้องกับนายมนูญไปก่อนโจทก์ฟ้องคดีนี้
โจทก์ยื่นคำคัดค้านว่า จำเลยทั้งสองโอนสิทธิเรียกร้องให้แก่ผู้ร้องโดยคบคิดกันฉ้อฉล และแจ้งการโอนสิทธิเรียกร้องไปยังการสื่อสารแห่งประเทศไทยภายหลังที่โจทก์ส่งหมายอายัดชั่วคราวไปยังการสื่อสารแห่งประเทศไทยแล้ว ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งให้ยกคำร้องของผู้ร้องและจำเลยทั้งสอง ค่าคำร้องเป็นพับ
ผู้ร้องและจำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
ผู้ร้องและจำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่ผู้ร้องและจำเลยทั้งสองฎีกาว่า จำเลยทั้งสองได้โอนสิทธิเรียกร้องในเงินค่าก่อสร้างที่จะได้รับจากการสื่อสารแห่งประเทศไทยให้แก่ผู้ร้องไปแล้วจริง มิได้คบคิดกันฉ้อฉลโจทก์ดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัย จึงขอให้ศาลฎีกาพิพากษายกคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวของโจทก์เสียนั้น เห็นว่า ข้อเท็จจริงในคดีได้ความว่า ภายหลังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืนตามคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้อายัดเงินดังกล่าวไว้ชั่วคราวก่อนพิพากษาแล้ว ต่อมาเมื่อวันที่ 3 เมษายน 2546 ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์และยกฟ้องแย้งจำเลยทั้งสอง ซึ่งถือได้ว่าจำเลยทั้งสองชนะคดีในส่วนที่โจทก์ฟ้อง โจทก์มิได้ยื่นคำขอฝ่ายเดียวต่อศาลชั้นต้นภายในกำหนดเวลาเจ็ดวันนับแต่วันที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา เพื่อแสดงว่าโจทก์ประสงค์จะยื่นอุทธรณ์คำพิพากษา และมีเหตุอันสมควรที่ศาลจะมีคำสั่งให้วิธีการชั่วคราวเช่นว่านั้นยังคงมีผลบังคับต่อไป ดังนั้น คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้อายัดเงินค่าก่อสร้างที่จำเลยทั้งสองมีสิทธิได้รับจากการสื่อสารแห่งประเทศไทยไว้ชั่วคราวก่อนพิพากษาจึงเป็นอันยกเลิกไปเมื่อพ้นกำหนดเจ็ดวันนับแต่วันที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 260 (1) แล้ว การวินิจฉัยปัญหาตามฎีกาของผู้ร้องและจำเลยทั้งสองจึงไม่เป็นประโยชน์แก่คดีอีกต่อไป”
ให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความของศาลฎีกา ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share