คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 56/2541

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

สถานที่เกิดเหตุเป็นบริเวณที่มีการจัดงานรื่นเริงเชื่อว่าจะต้องมีแสงสว่างมากกว่าปกติหลังเกิดเหตุ พ.ได้แจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจทันทีพร้อมทั้งระบุตัวจำเลยว่า เป็นคนร้ายที่ใช้มีดเป็นอาวุธทำร้ายผู้เสียหายแม้ผู้เสียหายกับ พ. ประจักษ์พยานจะเป็นพี่น้องกันแต่ก็ไม่ปรากฏว่าบุคคลทั้งสองเคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อนอันจะทำให้มีความระแวงว่าจะเกิดมีการกลั่นแกล้งกันได้ เชื่อว่า พยานเบิกความตามที่ได้รู้เห็นมา ส่วนจำเลยนำสืบต่อสู้ว่าคนร้ายที่ทำร้ายร่างกายผู้เสียหายมีรูปร่างคล้ายจำเลยชื่อ ผ. นั้น จำเลยก็หาได้นำสืบให้เห็นว่าในคืนเกิดเหตุมีพฤติการณ์ใดที่ชวนให้มีการเข้าใจผิดว่าจำเลยคือ ผ.จึงเป็นการกล่าวอ้างลอย ๆ ทั้งหลังเกิดเหตุใหม่ ๆจำเลยก็หาได้ให้การต่อพนักงานสอบสวนถึงเรื่องที่บุคคลอื่นมีรูปร่างหน้าตาคล้ายจำเลยไว้ไม่ ส่วนการที่จำเลยยืนถือมีดปลายแหลมแล้วตรงเข้าเอาด้ามมีดเคาะที่ศีรษะผู้เสียหายแล้วพูดว่า “เก่งที่อื่นได้ แต่อย่ามาเก่งที่นี่”หาใช่เป็นการที่ผู้กระทำผิดรอให้ผู้อื่นเห็นหน้าอันเป็นการผิดปกติวิสัยดังที่จำเลยฎีกาไม่หากแต่เป็นเพราะความชะล่าใจของคนร้ายบางคนที่คิดว่าไม่มีผู้ใดจะกลัวว่ากล่าวเอาโทษแก่ตนได้และแม้ อ. พยานโจทก์จะเบิกความว่าพยานไม่ได้ออกบัตรเชิญจำเลยและไม่เห็นจำเลยในวันงานนั้นก็มิใช่เป็นข้อที่จะรับฟังได้เด็ดขาดว่าจำเลยไม่ได้อยู่ในวันงานนั้นเพราะ อ. ซึ่งเป็นเจ้าของบ้านต้องดูแลต้อนรับผู้ร่วมงานเป็นจำนวนมาก ในงานมีทั้งภาพยนต์และดนตรีย่อมจะมีคนเข้ามาร่วมชมซึ่งอาจเป็นคนแถวบริเวณนั้นรวมอยู่ด้วยทั้ง ๆที่ไม่ได้รับเชิญ พยานจำเลยนอกจากนี้ล้วนแต่เป็นเพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้กันและเป็นพี่จำเลยย่อมเบิกความเป็นประโยชน์แก่จำเลยเป็นธรรมดา พยานหลักฐานของจำเลยไม่สามารถหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 297
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297(8) ลงโทษจำคุก 3 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่าตามวันเวลาเกิดเหตุในฟ้อง นายตู้ วงษ์สุวรรณ ผู้เสียหายได้ถูกคนร้ายใช้อาวุธมีดแทง มีบาดแผลที่ชายโครงขวาทะลุเข้าช่องท้องต้องผ่าตัดและพบว่ามีบาดแผลที่ตับกลีบขวา 2 แห่ง เป็นเหตุให้ผู้เสียหายต้องป่วยเจ็บจนประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่า 20 วัน ตามผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์เอกสารหมาย จ.1 ต่อมาในวันเดียวกันจำเลยเข้ามอบตัวต่อพนักงานสอบสวน ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยมีว่า จำเลยเป็นคนร้ายที่กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ โจทก์มีประจักษ์พยานคือตัวผู้เสียหายและนายพี วงษ์สุวรรณเบิกความยืนยันว่า พยานทั้งสองเห็นจำเลยเป็นผู้ใช้อาวุธมีดพกยาวประมาณ 1 คืบเศษ เป็นอาวุธแทงผู้เสียหายถูกที่บริเวณชายโครงด้านขวาหลังจากแทงแล้วยังใช้ด้ามมีดเคาะที่ศีรษะของผู้เสียหายซ้ำอีก1 ครั้งโดยเฉพาะผู้เสียหายยังเบิกความว่า ก่อนจำเลยจะใช้มีดเป็นอาวุธแทงผู้เสียหายนั้น จำเลยอยู่ห่างผู้เสียหายประมาณ 1 วาตรงที่เกิดเหตุมีแสงสว่างจากดวงไฟที่ติดไว้ตรงบริเวณวงดนตรีส่องสว่างไปถึง แสงสว่างเพียงพอมองเห็นกันชัดเจน และข้อเท็จจริงก็ปรากฏตามคำเบิกความของพยานทั้งสองและแผนที่แสดงสถานที่เกิดเหตุเอกสารหมาย ป.จ.1 (ศาลจังหวัดชัยนาท) ว่า สถานที่เกิดเหตุเป็นบริเวณที่มีการจัดงานรื่นเริงเชื่อว่าจะต้องมีแสงสว่างมากกว่าปกติทั้งพยานทั้งสองก็ยังเบิกความว่ารู้จักจำเลยมาก่อนเพราะเป็นญาติกันหลังจากเกิดเหตุปรากฏตามคำเบิกความของร้อยตำรวจเอกสมชายใหม่สุนทร ซึ่งเป็นผู้ตรวจสถานที่เกิดเหตุและพนักงานสอบสวนกับบันทึกการตรวจสถานที่เกิดเหตุเอกสารหมาย จ.2 ซึ่งทำขึ้นในวันเกิดเหตุว่า นายพีได้แจ้งความต่อร้อยตำรวจเอกสมชายทันทีพร้อมทั้งระบุตัวจำเลยว่าเป็นคนร้ายที่ใช้มีดเป็นอาวุธทำร้ายผู้เสียหาย และร้อยตำรวจเอกสมชายได้บันทึกชื่อจำเลยว่าเป็นคนร้ายไว้ในเอกสารหมาย จ.2 ดังกล่าวด้วย แม้ผู้เสียหายกับนายพีประจักษ์พยานทั้งสองจะเป็นพี่น้องกันแต่ก็ไม่ปรากฏว่าพยานทั้งสองเคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อนอันจะทำให้มีความระวางว่าจะเกิดมีการกลั่นแกล้งกันได้ เชื่อว่าพยานโจทก์ทั้งสองเบิกความตามที่ได้รู้เห็นมา ส่วนที่นายเจียม เทพเทียน พยานจำเลยและตัวจำเลยเบิกความเป็นทำนองว่าคนร้ายที่ทำร้ายร่างกายผู้เสียหายมีรูปร่างคล้ายจำเลยชื่อนายแผน มะลิรอด นั้น จำเลยก็หาได้นำสืบให้เห็นว่าในคืนเกิดเหตุมีพฤติการณ์ใดที่ชวนให้มีการเข้าใจผิดว่าจำเลยคือนายแผนจึงเป็นการกล่าวอ้างลอย ๆ ในเรื่องนี้ และตามบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยเอกสารหมาย จ.4 เมื่อหลังเกิดเหตุใหม่ ๆ จำเลยก็หาได้ให้การต่อพนักงานสอบสวนถึงเรื่องที่บุคคลอื่นมีรูปร่างหน้าตาคล้ายจำเลยได้ด้วยไม่ ส่วนการที่จำเลยยืนถือมีดปลายแหลมแล้วตรงเข้าเอาด้ามมีดเคาะที่ศีรษะผู้เสียหายแล้วพูดว่า “เก่งที่อื่นเก่งได้ แต่อย่ามาเก่งที่นี่” นั้น หาใช่เป็นการที่ผู้กระทำผิดรอให้ผู้อื่นเห็นหน้าอันเป็นการผิดปกติวิสัย ดังที่จำเลยฎีกาไม่ หากแต่เป็นเพราะความชะล่าใจของคนร้ายบางคนที่คิดว่าไม่มีผู้ใดจะกล้าว่ากล่าวเอาโทษแก่ตนได้สำหรับนายอ่อนกิมสาตร์ พยานโจทก์ที่เบิกความว่าพยานไม่ได้ออกบัตรเชิญจำเลยและไม่เห็นจำเลยในวันงานนั้น ก็มิใช่เป็นข้อที่จะรับฟังได้เด็ดขาดว่าจำเลยไม่ได้อยู่ในงานนั้น เพราะนายอ่อนซึ่งเป็นเจ้าของบ้านต้องดูแลต้อนรับผู้ร่วมงานเป็นจำนวนมาก ทั้งในงานก็ปรากฏตามคำเบิกความของนายอ่อนว่ายังมีทั้งภาพยนตร์และดนตรีย่อมจะมีคนเข้าร่วมชมซึ่งอาจเป็นคนแถวบริเวณนั้นรวมอยู่ด้วยทั้ง ๆ ที่ไม่ได้รับเชิญ ส่วนคำเบิกความขอนายเจียมพยานจำเลยถึงแม้จะมีตำแหน่งเป็นผู้ใหญ่บ้าน แต่นายเจียม ก็เบิกความไว้ว่ามีลูกบ้านเป็นคนละกลุ่มกับกลุ่มผู้เสียหาย และในคืนนั้นผู้เสียหายถือขวดเหล้าวิ่งตีนายวิทย์ คำทอง ลูกบ้านของนายเจียม ดังนี้ นายเจียมก็ย่อมไม่ชอบผู้เสียหายอยู่ไม่มากก็น้อยส่วนนายโมรี พุ่มปรีชา และนายธงชัย วงษ์สุวรรณ พยานจำเลยล้วนแต่เป็นเพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้กันและเป็นพี่จำเลย ย่อมเบิกความเป็นประโยชน์แก่จำเลยเป็นธรรมดาพยานหลักฐานของจำเลยไม่สามารถหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามา ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share