แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่บิดาจำเลยไปทำบันทึกไว้ที่อำเภอว่าถ้าที่นาหนองสระพังเป็นที่สาธารณะก็ยอมสละการครอบครองเฉพาะส่วนของตน ต่อมาโจทก์ซึ่งมีส่วนในนาหนองสระพังได้ไปหาหลักฐานมายันจนอำเภอสั่งว่าที่นาหนองสระพังไม่ใช่ที่สาธารณะ เช่นนี้ ถือว่าบิดาจำเลยได้ให้บันทึกโดยมีเงื่อนไข เมื่อที่ไม่เป็นสาธารณะก็ย่อมไม่ผูกพัน
เมื่อเจ้าของที่มือเปล่ายกที่ให้ผู้ใด ต้องพิเคราะห์ดูว่าผู้ได้รับยกให้เข้าปกครองตลอดมาหรือไม่ ปรากฏจากหลักฐานพยานเชื่อได้ว่า บิดาจำเลยที่ได้รับยกให้ได้เข้าครอบครองเมื่อได้รับยกให้ตลอดมา และเมื่อบิดาจำเลยตายจำเลยก็เข้าครอบครองที่นั้นตลอดมา เช่นนี้ ย่อมฟังได้ว่าที่พิพาทยังเป็นของจำเลยครอบครอง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เดิมขุนสมบัติฯ และนางคำมีสามีภรรยาเป็นเจ้าของนาหนองสระพัง ทั้งสองเป็นบิดามารดานายเผือกบิดาจำเลยและนางคำตันโจทก์ที่ 1 ซึ่งมีโจทก์ที่ 2 เป็นสามี ขุนสมบัติตายมา 22 ปีแล้วเมื่อมกราคม2497 นางคำมีได้ยื่นคำร้องต่ออำเภอเมืองสกลนครขอยกที่นาหนองสระพังให้นายเผือกและนางคำตันคนละครึ่ง แต่นายมากกับพวกคัดค้านว่าหนองสระพังเป็นที่สาธารณะอำเภอได้สอบสวนเห็นว่าเป็นที่สาธารณะจึงสั่งยกคำร้อง นางคำมีเสีย ต่อมานางคำมีตายอำเภอเรียกนายเผือก นางคำตันโจทก์มาทำบันทึก นายเผือกให้ถ้อยคำว่าถ้าเป็นหนองสาธารณะก็ยินดีเพิกถอนการยึดครองเฉพาะส่วนของนายเผือก ส่วนนางคำตันไม่ยอมโดยยืนยันว่าเป็นของบิดามารดาโดยชอบต่อมานายเผือกตาย และโจทก์ทั้งสองหาหลักฐานไปยันจนอำเภอเห็นว่านาหนองสระพังไม่ใช่ที่สาธารณะและเป็นของนางคำมีโดยชอบจึงมีหนังสือบอกให้นางคำตันทราบ ฝ่ายจำเลยซึ่งเป็นบุตรนายเผือกได้ร้องต่ออำเภอขอรับมรดกที่นาหนองสระพังแทนนายเผือกบิดา แต่โจทก์ไม่ยอมจะเอาให้หมดจึงมาฟ้องคดี
ตามฟ้องกล่าวว่าเมื่อนางคำมีตายแล้วนาหนองสระพังตกแก่โจทก์เพราะนายเผือกสละสิทธิ์ประการหนึ่งและเมื่อนางคำมีตายลงแล้วโจทก์ได้เข้าครอบครองโดยสงบและเปิดเผย และหาพยานไปให้อำเภอสอบสวนจนปรากฏว่ามิใช่หนองสาธารณะ ครั้นเมื่อสิงหาคม 2497 จำเลยบังอาจเข้าไถและปักดำข้าว ในนาหนองสระพังดังกล่าว จึงขอให้ศาลสั่งว่านาส่วนพิพาทเป็นของโจทก์และห้ามจำเลยเข้าเกี่ยวข้อง
จำเลยต่อสู้ว่า นายเผือกทำหนังสือให้อำเภอนั้นมีเงื่อนไขจะยกให้เมื่อมันเป็นที่สาธารณะ เมื่อไม่เป็นนายเผือกก็มีสิทธิ์ในที่นั้นตามที่นางคำมียกให้ไว้ ซึ่งจำเลยเป็นผู้รับมรดกต่อมาย่อมได้รับ จึงขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า ที่พิพาทเป็นของโจทก์เพราะนายเผือกบอกสละสิทธิ์ครอบครองแล้ว
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า นายเผือกให้โดยมีเงื่อนไขเมื่อที่ไม่เป็นที่สาธารณะ นายเผือกก็ย่อมมีสิทธิ์ตามเดิม
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่นี้เป็นที่มือเปล่า เมื่อนางคำมีเจตนาสละสิทธิ์ยกให้บุตรคือนายเผือกและนางคำตันแล้ว หากนายเผือกและนางคำตันเข้าครอบครองก็ย่อมได้สิทธิ์ในที่นั้น ส่วนการที่นางคำมีไปยื่นคำร้องต่ออำเภอเพื่อขอทำนิติกรรมยกให้ ก็เพื่อให้เป็นหลักฐานตามกฎหมาย ข้อสำคัญต้องพิจารณาว่านายเผือกและนางคำตันได้ครอบครองเพียงใดหรือไม่ สำหรับที่พิพาทพยานจำเลยฟังได้ว่านายเผือกได้ครอบครองตลอดมา ที่นายเผือกไปให้ถ้อยคำต่ออำเภอเป็นเพียงบันทึกมีเงื่อนไขว่าถ้าเป็นที่สาธารณะจริงก็ไม่เข้ายึดครองเมื่อไม่เป็นที่สาธารณะก็ย่อมไม่ผูกพัน ทั้งเมื่อนายเผือกตายลงจำเลยก็เข้าครอบครองที่พิพาทต่อมาจึงพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์