แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
จำเลยมิได้มีส่วนรู้เห็นและร่วมวางแผนแบ่งหน้าที่กันทำในการปล้นทรัพย์ไม่พอฟังว่าเป็นตัวการด้วย แต่การช่วยยืมเรือและรับส่งคนเป็นจำนวนมากนับสิบซึ่งมีอาวุธปืนนานาชนิด พาไปพักแรมระหว่างทาง 1 คืน รุ่งขึ้นเดินทางต่อ เมื่อส่งคนขึ้นฝั่งแล้วยังคงคอยรับกลับพาขึ้นฝั่งแล้วหลบหนีไปด้วยกัน แสดงว่าจำเลยรู้พฤติการณ์ของคนร้ายน่าจะหาทางหลีกเลี่ยงถือได้ว่าเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่คนร้าย จึงเป็นผู้สนับสนุน
ย่อยาว
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 340 วรรคท้าย, 340 ตรี, 289, 80, 83 ลงโทษตามมาตรา 340 วรรคท้ายซึ่งเป็นบทหนก จำคุกตลอดชีวิต ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามมาตรา 340 วรรคท้าย, 340 ตรี, 86, 52 จำคุก 33 ปี 4 เดือนคำขอนอกจากนี้ให้ยก โจทก์และจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 5พฤศจิกายน 2523 เวลาประมาณ 19 นาฬิกา ได้มีคนร้ายหลายคนต่างมีอาวุธปืนนานาชนิด ทั้งอาวุธปืนธรรมดา และอาวุธปืนเอ็ม 16 กับอาวุธปืนคาร์บิน ร่วมกันปล้นทรัพย์ผู้โดยสารรถยนต์ที่แล่นผ่านไปมาบนถนนสายสงขลา-นครศรีธรรมราช ระหว่างหลักกิโลเมตรที่ 74-75 ใกล้สะพานท่าเข็มตำบลคลองแดน อำเภอระโนด จังหวัดสงขลา โดยใช้อาวุธปืนยิงใส่รถยนต์ที่ผ่านไปมาขู่บังคับให้หยุดรถ เพื่อทำการปล้นทรัพย์ของผู้ที่โดยสารมากับรถหลายคน แต่บังคับให้รถหยุดได้ 4-5 คัน ส่วนนอกนั้นคนขับไหวทันขับรถหลบหลีกหนีได้ทัน พวกคนร้ายได้ใช้อาวุธปืนยิงนางเปรมจิต พุทธสุภะ ถึงแก่ความตาย และยิงนางสมบูรณ์ เกตุเหมือน ได้รับบาดเจ็บสาหัส กับได้ขู่เข็ญบังคับเอาทรัพย์สินต่าง ๆ ไปจากนายเอกชัย สาตรแสง นายกิตติชัยสาตรแสง และนายเขียน เกตุเหมือน ผู้เสียหายไปตามฟ้อง ในการปล้นทรัพย์ของพวกคนร้ายดังกล่าว นอกจากพวกคนร้ายมีและใช้อาวุธปืนแล้ว พวกคนร้ายยังได้ใช้เรือยนต์เพลายาวเป็นพาหนะในการปล้นทรัพย์ครั้งนี้ด้วยหลังเกิดเหตุแล้ว ต่อมาเจ้าพนักงานตำรวจจับนายจันทร์หรือโพธิ์ เส้งเอียดนายวิเชียร จรงค์หนู นายกำพลหรือพล อนันตรัตน์ พลตำรวจจิตรกร ณะข้อยและนายชาติหรือวิมล เรืองศรี คนร้ายที่ร่วมกับพวกที่ยังหลบหนีมาดำเนินคดีและศาลได้พิพากษาลงโทษคนทั้งห้า คดีถึงที่สุดแล้ว ตามสำนวนคดีอาญาหมายเลขดำที่ 134/2524 คดีหมายเลขแดงที่ 526/2524 ของศาลจังหวัดสงขลาสำหรับจำเลยคดีนี้ถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมได้เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2524และข้อเท็จจริงในชั้นศาลฎีกาฟังได้ว่าจำเลยร่วมเดินทางไปในเรือลำเดียวกับพวกคนร้ายที่ไปกระทำการปล้นทรัพย์ในครั้งนี้ด้วย
โจทก์นำสืบว่า จำเลยมีส่วนร่วมกับพวกคนร้ายที่ทำการปล้นทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย โดยจำเลยเป็นผู้จัดหาเรือยนต์เพลายาวใช้เป็นยานพาหนะรับพวกคนร้ายทั้งหมดประมาณ 12 คนจากตำบลลำปำอำเภอเมืองพัทลุง ลงเรือข้ามทะเลสาบ ไปอำเภอระโนด จังหวัดสงขลานำเรือเข้าไปจอดส่งพวกคนร้ายในคลองใกล้จุดที่กำหนดรอได้เวลาพอมืดค่ำลงให้พวกคนร้ายขึ้นฝั่งไปปฏิบัติการ และรอรับพวกคนร้ายกลับมาลงเรือ แล้วพากันหลบหนีไป
จำเลยนำสืบว่า จำเลยมิได้มีส่วนร่วมหรือจะมีส่วนรู้เห็นกับการกระทำความผิดของพวกคนร้าย
พิเคราะห์แล้ว ตามฎีกาโจทก์และจำเลยมีปัญหาว่า จำเลยกระทำความผิดดังโจทก์ฟ้องหรือไม่ และเพียงใด โจทก์ฎีกาว่า การปล้นทรัพย์เป็นเหตุทำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย พวกคนร้ายได้มีการวางแผนการแบ่งหน้าที่กันมาแต่แรกก่อนลงมือปฏิบัติการ โดยจำเลยมีหน้าที่จัดหาเรือเป็นพาหนะนำพวกคนร้ายทั้งหมดไปปฏิบัติการแล้วคอยรับกลับลงเรือพาหลบหนีแสดงว่าจำเลยมีส่วนร่วมรู้เห็นและร่วมกับพวกคนร้ายกระทำการในครั้งนี้ด้วยมาแต่แรก ข้อนี้ โจทก์มีนายเลียบหรือสมบัติ เพ็งหนู นายแบน ไชยเกตุนายสมใจ รักษ์ดำ และนายเอื้อน บุษบงศ์ พยานโจทก์เบิกความสอดคล้องประกอบกันว่า ก่อนหน้าจะเกิดเหตุ 1 วัน จำเลยกับนายเลียบหรือสมบัติพากันไปหายืมเรือยนต์เพลายาวจากนายแบน แต่เป็นเรือลำเล็ก จึงพากันไปยืมได้เรือของนายสมใจ ซึ่งเป็นเรือใหญ่และจุคนได้มากกว่า แล้วนำเรือไปจอดรอรับนายกำพลหรือพลกับพวกที่บ้านปากประ ริมทะเลสาบ ตำบลลำปำ อำเภอเมืองพัทลุง ข้ามทะเลสาบไปพักแรมที่บ้านนายเอื้อน คนบ้านศาลาหลวง ตำบลท่าบอน อำเภอระโนด จังหวัดสงขลา อยู่ 1 คืนระหว่างพักแรมคืนที่บ้านนายเอื้อน ได้ความตามคำเบิกความนายเลียบหรือสมบัติ กับนายเอื้อนพยานของโจทก์ว่า พวกที่ไปด้วยบางกลุ่มได้มีการจับกลุ่มพูดคุยกัน จำเลยกับบางคนแยกไปนอน นายเลียบหรือสมบัติพยานโจทก์ว่า พวกที่จับกลุ่มได้มีการพูดคุยวางแผนการจะไปปล้นตามคำเบิกความของนายเลียบหรือสมบัติ และนายเอื้อนเจ้าของบ้าน ไม่ได้ความเลยว่าตอนที่ไปพักค้างแรมที่บ้านนายเอื้อนในคืนนั้น จำเลยได้เข้าไปร่วมกลุ่มกับพวกที่มีการปรึกษาหารือกัน อีกทั้งไม่ปรากฏหรือได้ความจากพยานของโจทก์คนใดที่นำสืบให้เห็นถึงพฤติการณ์ของจำเลยว่ามีส่วนรู้เห็นและร่วมกับการวางแผนแบ่งหน้าที่กันทำมาก่อน เห็นว่า ข้ออ้างฎีกาโจทก์ข้อนี้ยังเป็นที่สงสัย ไม่พอฟังว่าจำเลยเป็นตัวการร่วมกระทำความผิดดังข้อฎีกาโจทก์
ส่วนปัญหาตามข้อฎีกาของจำเลยมีว่า จำเลยมีส่วนรู้เห็นและสนับสนุนการกระทำความผิดดังข้อวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์หรือไม่ จำเลยฎีกาว่าจากคำเบิกความของนายเลียบหรือสมบัติพยานโจทก์ซึ่งร่วมไปหายืมเรือเห็นได้ว่าไปด้วยกับพวกคนร้ายก็เพราะถูกหลอกใช้จนต้องอยู่ในภาวะจำยอมตามคำบงการของพวกคนร้ายเช่นเดียวกับจำเลย แสดงว่าจำเลยมิได้มีส่วนรู้เห็นเป็นใจที่จะช่วยเหลือสนับสนุนการกระทำความผิดด้วยนั้น เห็นว่าการที่จำเลยช่วยไปหายืมเรืออันเป็นยานพาหนะ เป็นธุระรับส่งพวกคนร้ายจำนวนมากนับเป็นสิบ ซึ่งล้วนมีอาวุธปืนนานาชนิด พากันข้ามทะเลสาบไปพักแรมระหว่างทางอยู่ 1 คืน รุ่งขึ้นตอนบ่ายจึงออกเรือพากันเดินทางต่อเมื่อส่งคนเหล่านั้นขึ้นฝั่งแล้วยังคงคอยรับคนเหล่านั้นกลับมาลงเรือพาขึ้นฝั่งแล้วหลบหนีไปด้วยกัน ดังนี้ ส่อแสดงถึงพฤติการณ์ของจำเลยให้เชื่อได้ว่าจำเลยย่อมจะรู้ถึงพฤติการณ์ของพวกคนร้ายที่จะไปทำการปล้นทรัพย์ในครั้งนี้มิฉะนั้นแล้ว จำเลยน่าจะหาทางหลีกเลี่ยง และคงจะไม่เป็นธุระง่ายดายเช่นนี้ข้ออ้างเพราะถูกหลอกจนกระทั่งไปตกอยู่ภายใต้การบงการของพวกคนร้ายเห็นว่าเป็นข้ออ้างที่เลื่อนลอย ไม่อาจหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ในข้อนี้ได้การกระทำของจำเลยถือได้ว่าเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นกระทำความผิดฐานปล้นทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย จำเลยจึงมีความผิดเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดนั้น”
พิพากษายืน