แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เมื่อโจทก์ไม่มีพยานมาสืบแสดงให้เห็นว่าการที่จำเลยที่ 2 ยักยอกเงินไปโดยมีจำเลยที่ 3 ร่วมด้วยนั้น ได้เกิดจากการจงใจหรือประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 1 อันเป็นผลโดยตรงให้เกิดมีการยักยอกเงินรายนี้ จำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดร่วมกับจำเลยอื่น
พระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ.2496 มาตรา 39 ซึ่งบัญญัติให้คณะเทศมนตรีควบคุมและรับผิดชอบในการบริหารกิจการของเทศบาลตามกฎหมาย โดยมีนายกเทศมนตรีเป็นหัวหน้า เป็นเรื่องกำหนดอำนาจและหน้าที่ความรับผิดชอบโดยทั่วๆ ไปของคณะเทศมนตรีในทางบริหารกิจการของเทศบาลว่ามีอยู่เพียงใดเท่านั้น หาได้หมายความเลยไปถึงว่าหากเกิดการทุจริตในกิจการของเทศบาลขึ้นโดยคณะเทศมนตรีมิได้มีส่วนรู้เห็นทำละเมิดด้วยแล้วคณะเทศมนตรีจะต้องรับผิดด้วยไม่
ระเบียบกระทรวงมหาดไทยเกี่ยวกับการเงินที่ว่า หากมีการทุจริตเกี่ยวกับการรักษาเงินรายได้หรือเงินอื่นใดของเทศบาลทุกหน่วยงานให้นายกเทศมนตรี ปลัดเทศบาลหรือผู้รักษาการแทนฯลฯ ร่วมกันรับผิดชอบชดใช้เงินคืนให้แก่เทศบาลจนครบนั้น ระเบียบดังกล่าวเป็นเรื่องกำหนดหน้าที่ความรับผิดในการปฏิบัติหน้าที่การงานภายในวงงานอันจำกัดไม่ใช่กฎหมาย ผู้ออกระเบียบจะกำหนดวิธีปฏิบัติให้ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบในกิจการของเทศบาลต้องปฏิบัติกิจการนั้นอย่างไรก็ย่อมทำได้ แต่การไม่ปฏิบัติตามระเบียบที่ว่านั้น หากจะมีความรับผิดทางกฎหมายอย่างไร ย่อมเป็นกรณีที่ต้องพิจารณาตามบทบัญญัติของกฎหมายอีกส่วนหนึ่ง การที่จะวางระเบียบหรือข้อบังคับไว้เด็ดขาดเลยไปถึงว่า หากเกิดการกระทำอย่างนั้นอย่างนี้ขึ้นแล้ว ผู้ดำรงตำแหน่งดังกล่าวจะต้องร่วมรับผิดชดใช้ค่าเสียหายอันเป็นการกำหนดก่อให้เกิดหนี้ละเมิด โดยผู้นั้นมิได้มีส่วนรู้เห็นเกี่ยวข้องกับการทุจริตด้วยนั้น หาทำได้ไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นนายกเทศมนตรีเมืองยะลา จำเลยที่ 2 รักษาการในตำแหน่งสมุหบัญชีเทศบาลเมืองยะลา จำเลยที่ 3 รักษาการในตำแหน่งปลัดเทศบาลเมืองยะลา จำเลยที่ 1 มีหน้าที่ดูแลรักษารับผิดชอบงานของเทศบาลให้เป็นไปตามระเบียบแบบแผนและกฎข้อบังคับเกี่ยวกับการเงินตามระเบียบของกระทรวงมหาดไทย ข้อ 21 นอกจากนี้จำเลยที่ 1 ในฐานะนายกเทศมนตรี เป็นผู้มีหน้าที่ควบคุมรับผิดชอบในการบริหารกิจการของเทศบาล ตามพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2496 มาตรา 39 ยังต้องรับผิดชอบทั้งการงานและการเงินของเทศบาล แต่จำเลยที่ 1 ละเลยไม่ปฏิบัติควบคุม ทำให้เทศบาลเมืองยะลาต้องเสียหาย คือ จำเลยที่ 2 ได้ยักยอกเงินของเทศบาลไปเป็นประโยชน์ส่วนตัว 25,380 บาท จำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นกรรมการรักษาเงินมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบร่วมกันในการรักษาเงินตามระเบียบการคลังเทศบาลข้อ 27 จำเลยที่ 3 ลงชื่อรับรองในบัญชียอดเงินคงเหลือว่าเป็นการถูกต้อง ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชดใช้เงิน 25,380 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยที่ 1 ให้การว่าไม่ได้รู้เห็น ไม่ได้ประมาทเลินเล่อไม่ได้ร่วมกับจำเลยที่ 2 รับเงินไว้ในความครอบครอง เงินดังกล่าวยังไม่เข้าคลังเทศบาล
จำเลยที่ 2 ให้การว่าไม่ได้ยักยอกเงิน
จำเลยที่ 3 ขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นเห็นว่า ฟ้องโจทก์ที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 2 ซ้ำกับคดีดำที่ 91/2501 คดีโจทก์ขาดอายุความ ไม่จำต้องวินิจฉัยข้อเท็จจริงพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า คดีโจทก์ยังไม่ขาดอายุความ พิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลล่างทั้งสอง ให้ศาลชั้นต้นชี้ขาดข้อเท็จจริงต่อไปแล้วพิพากษาใหม่
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยที่ 3 ชดใช้เงินให้โจทก์25,380 บาท ร่วมกับจำเลยที่ 2 ซึ่งศาลพิพากษาไปแล้วตามคดีหมายเลขแดงที่ 91/2501 กับให้เสียดอกเบี้ยเฉพาะจำเลยที่ 1 ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา คดีมีปัญหาสู่ศาลฎีกาเฉพาะจำเลยที่ 1 ผู้เป็นนายกเทศมนตรีว่า จะต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 2, 3 ชดใช้เงินที่จำเลยที่ 2 ยักยอกไปคืนให้โจทก์หรือไม่
ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์ไม่มีพยานมาสืบแสดงให้เห็นว่าการที่จำเลยที่ 2 ได้ยักยอกเงินไปโดยมีจำเลยที่ 3 ร่วมด้วยนั้น ได้เกิดจากการจงใจหรือประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 1 อันเป็นผลโดยตรงให้เกิดมีการยักยอกเงินรายนี้แต่ประการใด ได้ความจากพยานโจทก์ว่ากระทรวงมหาดไทยวางระเบียบการควบคุมเงินของเทศบาลให้มีกรรมการรักษาเงิน 3 คน เหตุที่มีการยักยอกรายนี้ เพราะไม่มีการควบคุมการเงินให้รัดกุมและเหตุที่ฟ้องจำเลยที่ 1 ให้รับผิดร่วมกับจำเลยอื่นด้วย ก็โดยถือว่าต้องรับผิดตามระเบียบของกระทรวงมหาดไทยไม่ได้มีการมุ่งไปในทางว่าจำเลยที่ 1 ร่วมทุจริตด้วย
ที่โจทก์ฎีกาว่า ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 1 จงใจด้วยความประมาทเลินเล่อ ทำให้โจทก์เสียหาย ข้อวินิจฉัยนี้ถึงที่สุดแล้วโดยจำเลยที่ 1 มิได้อุทธรณ์ ฉะนั้น ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าการที่จำเลยที่ 2 ยักยอกเงินตามฟ้อง มิได้เกิดจากการจงใจหรือประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 1 จึงเป็นการวินิจฉัยนอกฟ้องนอกอุทธรณ์นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ยื่นคำแก้อุทธรณ์ไว้แล้วว่าจำเลยที่ 1 ไม่ได้ประมาทเลินเล่อ ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 ได้จงใจด้วยความประมาทเลินเล่อทำให้โจทก์เสียหาย นั้นหมายถึงการที่จำเลยที่ 1 แต่งตั้งให้จำเลยที่ 2 เสมียนแผนกคลังเป็นผู้รักษาการในตำแหน่งสมุหบัญชีเป็นการชั่วคราวอีกตำแหน่งหนึ่งโดยไม่มีบุคคลหรือหลักทรัพย์ค้ำประกันตามระเบียบของกระทรวงมหาดไทยเท่านั้น หาได้หมายความถึงว่าจำเลยที่ 1 จงใจหรือประมาทเลินเล่อเกี่ยวกับการกระทำของจำเลยที่ 1 อันเป็นผลโดยตรงให้จำเลยที่ 2 ทำการยักยอกทรัพย์ตามฟ้องนี้ไม่ ฎีกาโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่าจำเลยที่ 1 ในฐานะนายกเทศมนตรีได้ปฏิบัติการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2496 มาตรา 39 ซึ่งมีความว่า”ให้คณะเทศมนตรีควบคุมและรับผิดชอบในการบริหารกิจการของเทศบาลตามกฎหมาย โดยมีนายกเทศมนตรีเป็นหัวหน้า” จำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดร่วมกับจำเลยอื่น ชดใช้เงินตามฟ้องให้โจทก์นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าความในมาตรา 39 นี้ เป็นเรื่องกำหนดอำนาจหน้าที่ความรับผิดชอบโดยทั่วไป ๆ ของคณะเทศมนตรีในทางบริหารกิจการของเทศบาลว่ามีอยู่เพียงใดเท่านั้น หาได้หมายความเลยไปถึงว่า หากเกิดการทุจริตในกิจการของเทศบาลขึ้น โดยคณะเทศมนตรีมิได้มีส่วนรู้เห็นทำละเมิดด้วยแล้วคณะเทศมนตรีจะต้องรับผิดชอบด้วยไม่ เพราะในกรณีเช่นนี้เป็นปัญหาเรื่องความรับผิดทางละเมิดซึ่งเป็นความรับผิดทางกฎหมายอีกประเภทหนึ่ง ส่วนที่โจทก์อ้างว่าจำเลยที่ 1 ต้องรับผิดร่วมกับจำเลยอื่นตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยเกี่ยวกับการเงินข้อ 21 ซึ่งมีความว่า “บรรดาเงินรายได้หรือเงินอื่นใดของเทศบาลทุกหน่วยงาน ให้นายกเทศมนตรี ปลัดเทศบาลหรือผู้รักษาการแทนสมุหบัญชีหรือผู้รักษาการแทน เป็นผู้รับผิดร่วมกัน ในการเก็บรักษาเงินดังกล่าวนี้ หากปรากฏว่ามีการทุจริตใด ๆ อันเกี่ยวกับการรักษาเงินดังกล่าวนี้ ให้บุคคลดังกล่าวร่วมกันรับผิดชอบชดใช้เงินคืนให้แก่เทศบาลจนครบ” นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าระเบียบดังกล่าวเป็นเรื่องกำหนดหน้าที่ความรับผิดในการปฏิบัติหน้าที่การงานภายในวงงานอันจำกัดไม่ใช่กฎหมายผู้ออกระเบียบจะกำหนดวิธีปฏิบัติให้ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบในกิจการของเทศบาลต้องปฏิบัติกิจการนั้นอย่างไร ก็ย่อมทำได้ แต่การไม่ปฏิบัติตามระเบียบที่ว่านั้นหากจะมีความรับผิดทางกฎหมายอย่างไร ย่อมเป็นกรณีที่ต้องพิจารณาตามบทบัญญัติของกฎหมายอีกส่วนหนึ่ง การที่จะวางระเบียบหรือข้อบังคับไว้เด็ดขาดเลยไปถึงว่าหากเกิดการกระทำอย่างนั้นอย่างนี้แล้ว ผู้ดำรงตำแหน่งดังกล่าว จะต้องร่วมรับผิดชดใช้ค่าเสียหายอันเป็นการกำหนดก่อให้เกิดหนี้ละเมิด โดยผู้นั้นมิได้มีส่วนรู้เห็นเกี่ยวข้องกับการทุจริตด้วยนั้น หาทำได้ไม่ การที่จะให้บุคคลต้องรับผิดชอบเพียงใดนั้น เป็นเรื่องที่จะต้องบัญญัติไว้โดยกฎหมาย คือ ต้องเป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยละเมิดนั่นเองเมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 จงใจหรือประมาทเลินเล่อ อันเป็นผลโดยตรงให้จำเลยที่ 2 ยักยอกเงินตามฟ้อง จำเลยที่ 1 ก็ไม่ต้องร่วมรับผิดชดใช้เงินตามฟ้องให้โจทก์
พิพากษายืน