คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 138/2534

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

การซื้อขายพระพุทธรูปอันเป็นสังหาริมทรัพย์ย่อมสมบูรณ์ต่อเมื่อผู้ขายส่งมอบทรัพย์สินที่ขายให้แก่ผู้ซื้อ และผู้ซื้อตกลงว่าจะใช้ราคาทรัพย์สินนั้นให้แก่ผู้ขาย ไม่จำต้องทำเป็นหนังสือสัญญาหรือมีหลักฐานเป็นหนังสือ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ได้ทำหนังสือซื้อพระกำแพงศอก(ปางทุ่งเศรษฐี) เนื้อชินเงิน 1 องค์ ราคา 90,000 บาท จากโจทก์โดยจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกัน จำเลยที่ 1 ได้รับพระกำแพงศอกไปจากโจทก์แล้วในวันเดียวกัน โดยยังมิได้ชำระเงินแก่โจทก์ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 90,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์จำเลยที่ 1 ให้การว่า จำเลยที่ 1 เป็นนายหน้าขายพระพุทธรูป โจทก์ให้จำเลยที่ 1 ทำสัญญาตามฟ้องไว้เพื่อเป็นประกันว่า จำเลยที่ 1ขายพระพุทธรูปได้แล้วจะนำเงินมาชำระให้โจทก์ โดยมีจำเลยที่ 2เป็นผู้ค้ำประกัน จำเลยที่ 1 นำพระพุทธรูปของโจทก์ไปขายไม่ได้จึงนำพระมาคืนโจทก์ แต่โจทก์ไม่ยอมรับคืน ขอให้ยกฟ้อง จำเลยที่ 2 ให้การรับตามฟ้อง แต่ขอให้บังคับเอาจากจำเลยที่ 1 ก่อนศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินให้โจทก์ 90,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระ ให้จำเลยที่ 2 ชำระแทน จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงที่โจทก์จำเลยที่ 1 นำสืบรับฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2528 จำเลยทั้งสองได้ลงลายมือชื่อในหนังสือรับรองการซื้อขายเอกสารหมาย จ.1ซึ่งมีข้อความว่า จำเลยที่ 1 ได้มาตกลงเช่าซื้อพระกำแพงศอก1 องค์ ราคา 90,000 บาท จากโจทก์โดยยังไม่ได้ชำระเงิน และจำเลยที่ 2 รับรองว่าหากจำเลยที่ 1 ไม่นำเงินมาชำระแก่โจทก์ จำเลยที่ 2จะเป็นผู้รับใช้จำนวนเงินดังกล่าวแทน โจทก์ได้มอบพระกำแพงศอกให้จำเลยที่ 1 แล้วต่อมาจำเลยที่ 1 นำพระกำแพงศอกมาคืนโจทก์โจทก์ไม่ยอมรับคืน ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยมีว่า จำเลยที่ 1 ซื้อพระกำแพงศอกไปจากโจทก์ตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า จากข้อความในเอกสารหมาย จ.1 ประกอบพฤติการณ์ที่โจทก์ได้มอบพระกำแพงศอกให้จำเลยที่ 1 ดังกล่าวเพียงพอให้ฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 ได้ซื้อพระกำแพงศอกไปจากโจทก์แล้ว และการซื้อขายพระพุทธรูปอันเป็นสังหาริมทรัพย์ย่อมสมบูรณ์เพียงเมื่อผู้ขายส่งมอบทรัพย์สินที่ขายให้แก่ผู้ซื้อ และผู้ซื้อตกลงว่าจะใช้ราคาทรัพย์สินนั้นแก่ผู้ขาย หาจำต้องทำเป็นหนังสือสัญญาหรือมีหลักฐานเป็นหนังสือไว้แต่อย่างใดไม่ ฉะนั้นแม้สัญญาซื้อขายระหว่างโจทก์จำเลยที่ 1จะมิได้ทำเอกสารหมาย จ.1 ไว้ก็ย่อมสมบูรณ์แล้ว ที่จำเลยฎีกาว่าสัญญาตามเอกสารหมาย จ.1 เป็นเพียงสัญญาตัวแทนเพื่อให้จำเลยที่ 1นำพระดังกล่าวไปขายที่กรุงเทพมหานครนั้น ก็ไม่ปรากฏว่าเอกสารหมาย จ.1 ระบุข้อความว่าให้จำเลยที่ 1 มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์และจำเลยที่ 1 ตกลงจะทำการดังนั้นตามที่บัญญัติไว้ใน มาตรา 797แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และหากจำเลยประสงค์ให้เอกสารดังกล่าวเป็นสัญญาตัวแทนจริง จำเลยก็น่าจะให้นายมนัส พรหมสุวรรณผู้เขียนได้เขียนข้อความเช่นนั้นให้ปรากฏในเอกสารหมาย จ.1 ด้วยแต่จำเลยก็หาได้ทำเช่นนั้นไม่ สัญญาระหว่างโจทก์จำเลยที่ 1 จึงเป็นสัญญาซื้อขาย หาใช่สัญญาตัวแทนดังที่จำเลยที่ 1 ฎีกาไม่ที่ศาลอุทธรณ์ให้จำเลยที่ 1 ใช้ราคาทรัพย์สินที่ซื้อขายแก่โจทก์จึงชอบแล้ว”
พิพากษายืน

Share