แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินของโจทก์โดยอ้างว่าจำเลยอาศัยและได้บอกกล่าวจำเลยให้รื้อถอนไปแล้ว
จำเลยต่อสู้ว่า เช่าที่ดินของโจทก์ได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า ฯลฯ และว่าคำบอกกล่าวให้รื้อถอนไปไม่ชอบด้วยกฎหมายดังนี้ แสดงว่าจำเลยได้ทราบคำบอกกล่าวของโจทก์แล้ว หากแต่ต่อสู้ว่าไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่ชอบอย่างไรก็ไม่ได้กล่าวให้ชัดแจ้ง จึงไม่มีประเด็นที่จะวินิจฉัยและจำเลยมีหน้าที่ต้องสืบให้สมว่าตนเช่า เมื่อจำเลยไม่สืบก็ต้องฟังว่าอาศัย โจทก์ย่อมมีสิทธิตาม ก.ม.ที่จะฟ้องขับไล่จำเลยได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้ง ๒ ซึ่งเป็นบุตรเขยบุตรสาวโจทก์ได้ขออาศัยที่ดินของโจทก์ ปลูกเรือนเพื่ออยู่และทำการค้า เนื่องจากจำเลยไม่เคารพโจทก์ ๆ ไม่ประสงค์จะให้จำเลยอาศัยอยู่ต่อไป จึงได้บอกกล่าวให้จำเลยรื้อถอนอาคารสิ่งปลูกสร้างของจำเลย ออกไปให้พ้นที่ดินของโจทก์ภายใน ๓๐ วัน จำเลยก็เพิกเฉยเสีย จึงขอให้ศาลบังคับ
จำเลยต่อสู้ว่าได้ให้ค่าเช่าแก่โจทก์เป็นรายปี ย่อมได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า ฯลฯ และคำบอกกล่าวให้รื้อถอนไปนั้น ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
โจทก์จำเลยต่างแถลงไม่ติดใจสืบพยาน ขอให้ศาลพิพากษาคดีตามรูปความ
ศาลชั้นต้นเห็นว่า คดีนี้โจทก์ว่าจำเลยอาศัยจำเลยต่อสู้ว่าเช่าโจทก์ได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า ฯลฯ จำเลยจึงมีหน้าที่ต้องสืบให้สม เมื่อจำเลยไม่สืบ ก็ต้องฟังอาศัย จึงพิพากษาขับไล่จำเลย ฯลฯ
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่าในเรื่องบอกกล่าวนี้ โจทก์ได้บรรยายในคำฟ้องไว้โดยชัดแจ้งแล้ว จำเลยคงให้การในข้อนี้เพียงว่าได้ทราบคำบอกกล่าวของโจทก์ในเรื่องนี้แล้ว หากแต่สู้ว่าไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่ชอบอย่างไร ก็ไม่ได้กล่าวให้ชัดแจ้ง จึงไม่มีประเด็นที่จะวินิจฉัย ศาลทั้งสองพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีชอบแล้ว คงพิพากษายืน