คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1370-1371/2498

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

พินัยกรรมนั้นจะทำได้ก็แต่ตามแบบใดแบบหนึ่ง (ม. 1655) โดยลงลายมือชื่อไว้ต่อหน้าพยานอย่างน้อย 2 คนพร้อมกัน (ม.1656) โดยทำเป็นเอกสารเขียนเองทั้งฉบับก็ได้ (ม.1657) ฯลฯ
เมื่อปรากฎว่าพินัยกรรมนั้นทำขึ้นโดยเปิดเผยเป็นสามฉบับข้อความตรงกัน มอบให้ผู้รับพินัยกรรมไว้ 1 ฉบับ ผู้ทำเก็บไว้ 1 ฉบับ การทำมิได้มีการปิดบังอย่างใด เช่นนี้มิใช่เป็นพินัยกรรมทำตามแบบเอกสารลับ แม้จะระบุไว้ว่าฉบับหนึ่งให้ฝากอำเภอเก็บเป็นเอกสารลับนั้นก็เป็นการเข้าใจของผู้ทำว่าเอกสารที่ฝากอำเภอนั้น อำเภอย่อมเก็บลับเท่านั้นเอง ผู้ทำมิได้เจตนาทำเป็นแบบเอกสารลับและเพียงเท่านี้ยังมิทำให้พินัยกรรมนั้นกลายเป็นพินัยกรรมทำตามแบบเอกสารลับไปไม่ +

ย่อยาว

คดีสองสำนวนนี้ ศาลชั้นต้นให้พิจารณาพิพากษารวมกันมา
สำนวนแรกนายประเสริฐฟ้องว่าจำเลยบังอาจใช้นามสกุลบุญนาค โดยจำเลยมิได้มีความสัมพันธ์ทางใด ๆ กับวงศ์สกุลของโจทก์ ขอให้ห้าม
จำเลยต่อสู้ว่า จำเลยเป็นภริยาพระพิพัชภูมิภาค โดยชอบด้วยกฎหมาย มาแต่ พ.ศ. ๒๔๗๗ จึงมีสิทธิใช้นามสกุลบุนนาค โดยสมบูรณ์ โจทก์ไม่มีสิทธิห้าม
สำนวนหลังนางสาวอนงค์ฟ้องกล่าวความทำนองเดียวกับคำฟ้องของนายประเสริฐและกล่าวต่อไปเป็นใจความว่าจำเลยไม่ใช่ภริยาที่ชอบด้วยกฎหมายของพระพิพัช ฯ บิดาโจทก์ จำเลยเป็นเพียงคนรับใช้มาได้เสียกับพระพิพัช ฯหลังประกาศใช้ ป.พ.พ.บรรพ ๕ แล้ว เมื่อวันที่ ๑ มิ.ย. ๘๖ พระพิพัช ฯ กับจำเลยร่วมกันไปแจ้งความเท็จต่อนายทะเบียนอำเภอพระนครว่า จำเลยเกิด พ.ศ. ๒๔๖๑ และได้เป็นภริยาพระพิพัช ฯ มาก่อน พ.ศ. ๒๔๗๗ ซึ่งไม่เป็นความจริง ความจริงจำเลยเกิด พ.ศ. ๒๔๖๔ พินัยกรรม ๓ฉบับ ที่พระพิพัช ฯ ทำขึ้นเป็นโมฆะเพราะทำผิดแบบตาม ป.พ.พ.ม.๑๖๖๐ จึงขอให้ห้ามไม่ให้จำเลยใช้นามสกุล และห้ามไม่ให้จำเลยเกี่ยวข้องกับกองมรดกของพระพิพัช ฯ กับขอให้พิพากษาว่าทะเบียนฐานะภริยาและพินัยกรรมดังกล่าวเป็นโมฆะ
จำเลยคงให้การดังในสำนวนแรก และต่อสู้ว่า พินัยกรรมของพระพิพัช ฯ หาได้ทำเป็นเอกสารกันไม่
ศาลแพ่งฟังว่าจำเลยเกิด พ.ศ. ๒๔๖๔ แต่พระพิพัช ฯ แจ้งผิดไปเป็น พ.ศ. ๒๔๖๑ แม้จำเลยจะเกิด พ.ศ. ๒๔๖๔ และจำเลยเป็นภรรยาพระพิพัช ฯ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๗ นั้น จำเลยก็อายุ ๑๔ ปีแล้ว ตามทะเบียนที่พระพิพัช ฯแจ้ง ไว้นั้นปรากฎชัดว่าจำเลยเป็นภรรยาพระพิพัช ฯ มาแต่ พ.ศ. ๒๔๗๗ ขณะจดทะเบียนจำเลยก็มีบุตรกับพระพิพัช ฯ ถึง ๓ คนแล้ว ฟังสมจำเลย ข้ออ้างของโจทก์ฟังไม่ได้ ส่วนพินัยกรรมนั้นมีข้อความตรงกันทั้งสามฉบับ ผู้ทำได้ทำเป็นแบบธรรมดาหาได้มีเจตนาจะทำเป็นเอกสารลับไม่ ที่นำไปฝากอำเภอไว้ฉบับหนึ่งก็เพื่อป้องกันการสูญหายเท่านั้น พิพากษายกฟ้องโจทก์ และศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาคงฟังว่าจำเลยเป็นภรรยาพระพิพัชฯ โดยชอบด้วย ก.ม.และมีสิทธิใช้นามสกุล ส่วนพินัยกรรมนั้นได้ความว่าพระพิพัช ฯ ได้ทำขึ้นโดยเปิดเผย ทำเป็นสามฉบับข้อความตรงกัน มอบให้ผู้รับพินัยกรรมไว้ฉบับหนึ่ง ตนเองเก็บไว้ฉบับหนึ่ง และมิได้มีการปิดบังการทำพินัยกรรมรายนี้แต่อย่างใด ไม่มีเหตุอย่างใดที่จะกล่าวว่าพระพิพัชฯ เจตนาทำเป็นแบบเอกสารลับ ที่ระบุไว้ว่าฉบับหนึ่งให้ฝากอำเภอเก็บเป็นเอกสารลับนั้นก็โดยเข้าใจว่าเอกสารที่ฝากอำเภอ อำเภอย่อมเก็บลับเท่านั้น มิได้เจตนาทำเป็นแบบเอกสารลับทั้งพินัยกรรมอีก ๒ ฉบับ ก็ยังเปิดเผยอยู่ก็ยิ่งทำให้เห็นเจตนาของผู้ทำได้ชัดยิ่งขึ้น
พิพากษายืน

Share