คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 480/2498

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ชายทำสัญญาจะซื้อที่ดินวางมัดจำไว้ เมื่อสมรสแล้วได้เอาเงินสินเดิมของชายและหญิงชำระราคา และรับโอนที่ดินมา ที่ดินเป็นสินสมรส สินเดิมที่สูญไปหักสินสมรสใช้หนี้ส่วนตัวสามีภริยาอาจตกลงให้หักสินสมรสใช้ก่อนแบ่งก็ได้

ย่อยาว

คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จำเลยเป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมายแต่ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความหย่าขาดจากกันเมื่อวันที่ 7 มิถุนายน2494 แล้ว

เมื่อโจทก์ทำการสมรสกับจำเลย โจทก์มีสินเดิมตามบัญชีทรัพย์ท้ายฟ้องหมายอักษร ก. ระหว่างอยู่กินด้วยกันโจทก์ได้ขายสินเดิมหมายเลข 5-6 ไปราคาประมาณ 800 บาท และจ่ายเงินสดหมดไป 1,000 บาท โดยใช้ในครอบครัวและโจทก์ได้เอาเงินสินเดิม 5,000 บาท ซื้อที่ดินสมรสหมายเลข1 ด้วย

โจทก์จำเลยมีสินสมรสดังปรากฏตามบัญชีทรัพย์หมายอักษร ข. ราคาประมาณ 119,560 บาท โจทก์ได้ขอให้จำเลยคืนสินเดิมและแบ่งสมรสให้โจทก์ จำเลยไม่ยอม จึงขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยคืนที่นอนสินเดิมให้โจทก์ มิฉะนั้นให้ใช้ราคา 500 บาท กับขอให้นำสินสมรสออกขายทอดตลาดได้เงินเท่าใดหักใช้สินเดิมให้โจทก์ 6,000 บาท ที่เหลือแบ่งกันระหว่างโจทก์จำเลย ส่วนของโจทก์กึ่งหนึ่งประมาณ 56,380 บาท

จำเลยให้การแก้ว่าทรัพย์ตามบัญชีท้ายฟ้องโจทก์หมายอักษร ก. รายการอันดับ 1 โจทก์จะมีหรือไม่จำเลยไม่ทราบ รายการอันดับ 2, 5, 6 โจทก์ไม่มีมารายการอันดับ 7 เงินสด 1,000 บาทนั้นเป็นเงินของจำเลยให้โจทก์ไว้สำหรับเป็นค่าเดินทางจากจังหวัดสุโขทัยเพื่อมาอยู่กินร่วมกันกับจำเลยที่กรุงเทพฯ รายการอันดับ 3-4 นั้นมีจริงแต่เป็นสินส่วนตัวของจำเลย ส่วนเงิน 5,000 บาท ที่โจทก์อ้างว่าได้นำมาลงทุนซื้อที่ดินสินสมรสตามบัญชีท้ายฟ้องหมาย ข. รายการอันดับ 1 นั้นไม่มีที่นอนใหญ่นั้นความจริงเป็นสินเดิมของจำเลยส่วนสินสมรสนั้นจำเลยต่อสู้ว่าเป็นสินเดิมของจำเลยบ้าง เป็นทรัพย์ที่ขายสินเดิมของจำเลยแล้วซื้อมาบ้างและจำเลยต้องจำหน่ายสินเดิมของจำเลยหมดไปในระหว่างอยู่กินกับโจทก์ถึง 337,500 บาท ทรัพย์สินที่โจทก์อ้างว่าเป็นสินสมรสตามบัญชีหมายอักษร ข. มีราคา 119,560 บาท ยังไม่พอชดใช้สินเดิมของจำเลยที่ต้องจำหน่ายไป โจทก์จึงไม่มีสิทธิที่จะได้แบ่งทรัพย์อีก อนึ่งเฉพาะทรัพย์ตามบัญชีหมายอักษร ข. แต่เลขอันดับ 17 ถึง 38 นั้นโจทก์คุมพรรคพวกมาขนเอาไปโดยที่ทรัพย์นั้นมิใช่ของโจทก์โดยเด็ดขาด จำเลยจึงฟ้องแย้งขอให้โจทก์ส่งทรัพย์ที่กล่าวนี้หรือราคา 6,833 บาทให้แก่จำเลย

โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า จำเลยจะมีสินเดิมตามบัญชีท้ายคำให้การจำเลยหมายอักษร ก. หรือไม่ โจทก์ไม่ทราบเพราะจำเลยมิได้นำมาบริคณห์หรือปกครองร่วมกัน หากว่ามีและขายไปก็ราคาไม่มากดังจำเลยอ้าง ทั้งเงินที่ขายได้มาจำเลยก็ไม่ได้นำมาใช้จ่ายร่วมกับโจทก์ จึงจะขอหักจากสินสมรสไม่ได้ ส่วนทรัพย์ตามบัญชีท้ายคำให้การจำเลยหมายอักษร ค. นั้น บางรายการโจทก์ว่าไม่มี บางรายการว่าเป็นสินสมรสหรือเกิดจากสินสมรส สำหรับทรัพย์ที่จำเลยฟ้องแย้งนั้นโจทก์ว่ามีอยู่ที่โจทก์ตามบัญชีหมายอักษร ข. ท้ายฟ้องเท่านั้นและเป็นสินสมรสทั้งสิ้น และทรัพย์หมายเลขอันดับ 1 ถึง 7 จำเลยก็ได้รับคืนไปแล้ว

ในวันพิจารณาคู่ความแถลงรับกันในข้อเท็จจริงว่า เมื่อโจทก์จำเลยแต่งงานกันนั้นโจทก์จำเลยต่างมีสินเดิมด้วยกัน ส่วนทรัพย์ที่โจทก์ฟ้องว่าเป็นสินสมรสนั้น โจทก์จำเลยตกลงกันกำหนดให้มีราคา 10,000 บาท และให้นำราคาทรัพย์นี้ไปรวมพิจารณากับที่ดินและบ้านเรือนตามบัญชีท้ายฟ้องหมายอักษร ข.อันดับ 1-2 โดยให้ถือว่าทรัพย์ที่ตีราคากันไว้ 10,000 บาทนี้เป็นทรัพย์ประเภทเดียวกับที่ดินนั้น สุดแต่ทางพิจารณาจะได้ความว่าที่ดินนั้นเป็นสินเดิมหรือสินสมรสก็ให้ทรัพย์ราคา 10,000 บาทนี้ตกเป็นสินอย่างนั้นไปด้วยส่วนทรัพย์อย่างใดตามฟ้องและคำให้การซึ่งยังตกอยู่ในความครอบครองของโจทก์เวลานี้ให้ถือว่าเป็นของโจทก์แล้วโดยเด็ดขาด จำเลยไม่ติดใจเรียกร้องมาแบ่งกันอีก

ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นที่คู่ความจะต้องนำสืบไว้ 2 ข้อ คือ

1. ทรัพย์ตามบัญชีท้ายฟ้องหมายอักษร ข. อันดับ 1-2 คือที่ดินและบ้าน 2 หลัง ที่ปลูกอยู่ในที่นั้น เป็นสินเดิมของจำเลยหรือสินสมรส

2. สินเดิมหรือสินส่วนตัวของโจทก์จำเลยได้ใช้จ่ายหมดสิ้นไปคนละเท่าใดในระหว่างอยู่กินเป็นผัวเมียกันอันจะพึงคิดหักจากสมรสได้

เมื่อพิจารณาแล้ว ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ทรัพย์ตามบัญชีท้ายฟ้องหมายอักษร ข. อันดับ 1-2 คือที่ดินโฉนดที่ 3716 กับเรือน 2 หลัง ซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินนั้น เป็นสินสมรสระหว่างโจทก์จำเลยแต่ในการได้มาซึ่งสินสมรสดังกล่าวนี้ จำเลยได้ใช้จ่ายสินเดิมของจำเลยหมดไปรวม 77,750 บาท และจำเลยยังได้ใช้จ่ายสินเดิมของจำเลยไปเพื่อประโยชน์ร่วมกันอีกคือซื้อรถยนต์แสตนดาด 30,000 บาท ขาดทุนในการค้าของโจทก์ 10,000 บาท ช่วยการแต่งงานพี่ชายโจทก์ 3,000 บาทรวมทั้งสิ้นเป็นเงิน 120,570 บาท จึงพิพากษาให้เอาทรัพย์ตามบัญชีท้ายฟ้องหมาย ข. อันดับ 1-2 ออกประมูลราคาระหว่างคู่ความ ถ้าไม่ตกลงกันก็ให้ขายทอดตลาด ได้เงินสุทธิเท่าใด ให้บวกเข้ากับสินสมรสรายการอื่นที่ได้ตกลงตีราคากันไว้ 10,000 บาทนั้น แล้วหักใช้สินเดิมให้จำเลย 120,570 บาท เหลือเท่าใดแบ่งให้โจทก์จำเลยคนละครึ่งฟ้องแย้งของจำเลยให้ยก ค่าธรรมเนียมกับค่าทนายให้เป็นพับไปส่วนในกรณีที่ที่ดินบ้านเรือนสินสมรสนี้ จำเลยได้ทำจำนองไว้ 40,000 บาท อันเป็นหนี้สินส่วนตัวของจำเลยและจำเลยไม่ขัดข้องในการที่จะต้องหักเงินค่าจำนองออกเสียก่อนเป็นหนี้สินส่วนตัวของจำเลยนั้นศาลชั้นต้นเห็นว่าในชั้นนี้ยังไม่มีประเด็นตั้งเข้ามาเป็นข้อพิพาทในคดีจึงยังไม่วินิจฉัย แต่ถ้าปรากฏว่าผู้ใดต้องรับผิดชอบเพียงใดในหนี้สินจำนองนั้น ก็ไม่ตัดสิทธิที่จะว่ากล่าวกันขึ้นมาใหม่

โจทก์จำเลยต่างอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่าที่ดินโฉนดที่ 3761 นี้พึ่งได้รับโอนมาเมื่อโจทก์จำเลยสมรสกันแล้วประมาณ 4 เดือน จึงเป็นการได้มาในระหว่างอยู่กินด้วยกัน ต้องถือเป็นสินสมรส แต่ฟังว่าการได้ที่ดินและบ้านเรือนนี้มาได้ใช้สินเดิมของจำเลยและโจทก์ด้วย 5,000 บาทสินเดิมของโจทก์อย่างอื่นนอกจากนี้ไม่มีพยานสนับสนุนฟังไม่ได้เรื่องการลงทุนให้โจทก์ค้าขาย ศาลอุทธรณ์เห็นว่าการค้าครั้งที่ 1-2 ได้กำไร แม้จะขาดทุนครั้งที่ 3 ก็พอหักกลบลบกันไป ส่วนเรื่องซื้อรถยนต์ จำเลยรับว่าซื้อเพื่อส่วนตัวจำเลยแต่มีข้อไขว่าเพื่อโจทก์ด้วย ทรัพย์สิ่งนี้อยู่กับจำเลยจะนำมาหักไม่ได้ เงินช่วยในการแต่งงานนายศักดิ์พี่ชายโจทก์นั้นจะว่าเป็นเรื่องของศีลธรรมไม่ได้ และโจทก์ก็ยินยอมรู้เห็นด้วยในการที่จำเลยจ่ายไป ส่วนหนี้รายจำนองนั้นจำเลยรับแล้วว่าเป็นหนี้ส่วนตัวจำเลยจึงไม่มีปัญหาในการแบ่ง จึงพิพากษาแก้ว่าให้เอาทรัพย์ตามบัญชีหมายอักษร ข.อันดับ 1-2 ออก ประมูลราคาระหว่างโจทก์จำเลย ถ้าตกลงกันไม่ได้ให้ขายทอดตลาด ได้เงินเท่าใดให้เอารวมกับราคาสินสมรส 10,000 บาทนั้น แล้วหักค่าธรรมเนียมทั้ง 2 ฝ่ายกับค่าทนายฝ่ายละ 200 บาทแล้วหักใช้สินเดิมให้โจทก์จำเลยที่ได้ใช้จ่ายไปในการซื้อที่ดินและสิ่งปลูกสร้างกับเครื่องเรือน รวม 77,750 บาท เป็นของโจทก์5,000 บาท ของจำเลย 72,750 บาท หักค่าใช้จ่ายการแต่งงานนายศักดิ์ให้จำเลยอีก 3,000 บาท เหลือเท่าใดแบ่งให้โจทก์จำเลยฝ่ายละกึ่ง

จำเลยฝ่ายเดียวฎีกาต่อมา

ศาลฎีกาได้ฟังคำแถลงการณ์ของโจทก์จำเลยและได้ประชุมปรึกษาคดีนี้แล้ว ปัญหาที่ว่าที่ดินและเรือน 2 หลังอันเป็นทรัพย์ตามบัญชีท้ายฟ้องหมายอักษร ข. เลขอันดับ 1-2 จะเป็นสินเดิมหรือสินสมรสนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าที่ดินรายนี้ได้มีการโอนกรรมสิทธิ์มาเป็นของจำเลยภายหลังที่โจทก์จำเลยได้สมรสกันแล้วประมาณ 4 เดือน บ้าน 2 หลังนั้นก็มีขึ้นหลังมาจากนั้น ฉะนั้นที่ดินและเรือนนี้จึงเป็นทรัพย์สินที่ได้มาภายหลังการสมรส ต้องตกเป็นสินสมรสตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1466 การที่จำเลยทำสัญญาจะซื้อขายและวางเงินมัดจำที่ดินนี้ไว้ก่อนสมรสนั้น ยังมิได้ทำให้จำเลยได้ที่ดินนั้นมาเป็นของจำเลย จึงถือไม่ได้ว่าเป็นทรัพย์สินที่จำเลยมีอยู่แล้วก่อนสมรส อนึ่งแม้จะได้ความว่า จำเลยได้ใช้เงินสินเดิมของจำเลยที่มีอยู่ซื้อที่ดินและบ้านเรือนนี้มาก็ไม่ทำให้กลายเป็นสินเดิมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1465 เพราะกรณีไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ที่จำเลยอ้างและข้อเท็จจริงยังได้ความว่าโจทก์ก็ได้ออกเงินในการซื้อที่ดินนี้ด้วย ดังจะได้กล่าวต่อไปข้างหน้า

ที่จำเลยกล่าวว่าเงินที่ซื้อที่ดินและเรือนนี้เป็นเงินมรดกนางบุญมีซึ่งจำเลยและบุตรมีส่วนด้วยกัน บุตรของจำเลยจึงมีส่วนเป็นเจ้าของที่ดินด้วยนั้น ปัญหาข้อนี้จำเลยมิได้ยกเป็นข้อต่อสู้มาแต่เดิม จึงไม่รับวินิจฉัย

ข้อที่จำเลยฎีกาคัดค้านคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ที่ฟังว่าโจทก์ได้ออกเงิน 5,000 บาทในการซื้อหาที่ดินบ้านเรือนนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าในปัญหานี้โจทก์มีพยานเบิกความประกอบกับหลายปากว่า โจทก์ได้เรียกเงินมาจากมารดาโจทก์ 5,000 บาท เพื่อช่วยในการซื้อที่ดินสมรสนี้ในครั้งที่โจทก์ฟ้องขอหย่าจากจำเลยโจทก์ก็ได้นำสืบไว้เช่นนี้เหมือนกัน ฝ่ายจำเลยมีแต่ตัวจำเลยคนเดียวว่าโจทก์มิได้ออกเงินด้วย ศาลฎีกาเห็นว่าพยานฝ่ายโจทก์มีน้ำหนักดีกว่าพยานจำเลยที่ศาลอุทธรณ์ฟังว่าโจทก์ได้ออกเงินในการซื้อที่ดินด้วยเป็นการชอบแล้ว

ข้อที่จำเลยขอให้หักเงินค่าซื้อรถยนต์ 30,000 บาทกับเงินที่ขาดทุนในการค้าให้จำเลยด้วยนั้น ศาลฎีกาเห็นว่ารถยนต์ที่กล่าวนี้ยังคงอยู่กับจำเลยฉะนั้น จะหักเงินค่ารถยนต์ไว้ให้จำเลยเป็นซ้ำสองอย่างไรได้ ส่วนเงินค่าลงทุนให้โจทก์ค้านั้น ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าแม้จะขาดทุนในครั้ง 3 แต่ก็มีกำไรในครั้งที่ 1-2 จึงควรหักกลบลบกันไป ศาลฎีกาพิเคราะห์ดูแล้วเห็นว่าฝ่ายโจทก์มีคำพยานว่าการค้าไม่ได้ขาดทุนทั้งหมด และบางครั้งก็มีกำไร ฉะนั้น ที่ศาลอุทธรณ์ให้หักกลบลบกันไป จึงสมควรแล้ว

ข้อที่จำเลยขอให้หักเงินให้ เด็กหญิงเล็ก บุตรจำเลย 124,500 บาท เพราะจำเลยเอาเงินเด็กหญิงเล็กใช้จ่ายไปนั้น ข้อนี้จำเลยไม่ได้ยกเป็นประเด็นต่อสู้ไว้จึงไม่รับวินิจฉัย

ข้อที่จำเลยว่าจำเลยได้จำหน่ายสินเดิมหมดไปถึง 337,500 บาทนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า นอกจากที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังมาแล้วจำเลยหามีหลักฐานประกอบไม่ มีแต่คำจำเลยลอย ๆ ฉะนั้น จะฟังว่าจำเลยจำหน่ายสินเดิมหมดไปถึง 337,500 บาทหาได้ไม่

ข้อที่จำเลยขอให้หักหนี้จำนอง 40,000 บาทให้จำเลยนั้นศาลฎีกาเห็นว่าที่ดินสมรสรายนี้ติดการจำนองอยู่ 40,000 บาท โดยนำเงินมาใช้จ่ายในระหว่างอยู่กินเป็นสามีภริยากันและไม่มีคำคัดค้านว่าจำเลยเอาไปใช้จ่ายส่วนตัว ตามรายงานพิจารณาลงวันที่ 21 กันยายน 2494 และวันที่ 26 ตุลาคม 2494 โจทก์เป็นผู้แถลงเองว่าให้หักเงินจำนองออกเสียก่อนฝ่ายจำเลยไม่ขัดข้อง ไม่ปรากฏที่ใดว่าหนี้รายนี้เป็นหนี้ส่วนตัวจำเลย เป็นแต่คำโจทก์แถลงว่าให้หักเงินจำนองออกเสียก่อนเป็นหนี้ส่วนตัวของจำเลยเท่านั้น อย่างไรก็ดี หากจะถือว่าหนี้จำนองรายนี้เป็นหนี้ส่วนตัวจำเลยก็ตาม แต่เมื่อโจทก์แถลงต่อศาลขอให้หักเงินค่าขายที่ดินใช้หนี้เสียก่อน และจำเลยก็ไม่ขัดข้องแล้ว ก็เท่ากับสามีภริยายินยอมให้ใช้หนี้รายนี้ก่อนจึงย่อมหักใช้หนี้ได้ เพราะกฎหมายมิได้ห้ามไม่ให้สามีภริยาตกลงยินยอมกันเช่นนี้ ฉะนั้น จึงให้หักราคาที่ดินใช้หนี้เสียก่อนแบ่งดังที่โจทก์แถลงไว้

ข้อที่จำเลยว่าโจทก์ไม่ควรได้รับชดใช้ค่าธรรมเนียม ค่าทนายความนั้นศาลฎีกาเห็นว่าเมื่อจำเลยไม่ยอมแบ่งสินสมรสที่โจทก์ควรได้ให้แก่โจทก์ โจทก์ก็ต้องฟ้องร้องจำเลยต่อศาล จำเลยควรต้องชดใช้ค่าธรรมเนียมและค่าทนายแทนโจทก์ ที่ศาลอุทธรณ์ให้หักค่าธรรมเนียมและค่าทนายทั้ง 2 ฝ่ายจากเงินที่ขายสมรสได้นั้นนับว่าเป็นผลดีแก่จำเลยอยู่แล้วฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น

อาศัยเหตุนี้จึงพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ เฉพาะข้อที่เกี่ยวกับหนี้จำนอง คือให้หักเป็นค่าชำระหนี้จำนอง 40,000 บาท เสียก่อนแบ่ง นอกจากที่แก้นี้คงยืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายชั้นฎีกาแทนโจทก์ 100 บาท

Share