แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
คดีก่อนจำเลยฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นจำเลยให้ชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงิน ประเด็นมีว่า จำเลยชำระหนี้เงินกู้แก่โจทก์แล้วหรือไม่ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ คดีถึงที่สุดแล้ว การที่จำเลยกลับมายื่นฟ้องโจทก์ในคดีก่อนเป็นจำเลยในคดีนี้ขอให้คืนเงินอ้างว่าเป็นเงินที่โจทก์ชำระหนี้เงินกู้ให้แก่จำเลย แต่จำเลยมิได้นำไปหักใช้เงินที่โจทก์กู้ยืมมา ประเด็นในคดีนี้จึงมีว่าจำเลยชำระหนี้เงินกู้แก่โจทก์แล้วหรือไม่นั่นเอง จึงเป็นประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน เป็นฟ้องซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 วรรคหนึ่ง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้กู้ยืมเงินจากจำเลยสองครั้ง คือเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2534จำนวน 30,000 บาท และวันที่ 10 สิงหาคม 2534 จำนวน 30,000 บาท ต่อมาโจทก์ได้ผ่อนชำระหนี้ให้จำเลยโดยวิธีโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากประเภทออมทรัพย์ของจำเลยที่ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) สาขาเขื่องใน เป็นเงินทั้งสิ้น 36,000 บาท จำเลยได้รับเงินดังกล่าวจากโจทก์แล้วไม่นำไปหักใช้หนี้เงินกู้ทั้งต้นเงินและดอกเบี้ย แต่จำเลยได้ฟ้องเรียกเงินตามสัญญากู้จากโจทก์ทั้งสองฉบับ และศาลได้พิพากษาให้โจทก์ชำระเงินแก่จำเลยตามฟ้อง การที่จำเลยรับเงินจากโจทก์แล้วไม่นำไปหักชำระหนี้กู้ยืมให้แก่โจทก์เป็นการได้เงินมาโดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้ ทำให้โจทก์เสียหาย จำเลยต้องคืนเงินดังกล่าวให้แก่โจทก์ ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 36,000 บาท แก่โจทก์ หรือมิฉะนั้นให้จำเลยนำเงินดังกล่าวไปหักกลบลบหนี้ตามคำพิพากษาในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 277/2536 ของศาลชั้นต้น เท่าจำนวนที่โจทก์ต้องรับผิด ส่วนที่เหลือให้คืนแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยได้ฟ้องโจทก์ในมูลหนี้ที่โจทก์นำมาฟ้องนี้ ศาลชั้นต้นได้พิพากษาให้โจทก์ชำระหนี้ให้จำเลยตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 277/2536 และ 371/2536 คดีถึงที่สุดแล้ว โจทก์ฟ้องคดีนี้ในประเด็นที่ศาลได้วินิจฉัยไปแล้วจึงเป็นฟ้องซ้ำต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 วรรคหนึ่ง ขอให้ยกฟ้อง
ในวันนัดสืบพยานโจทก์ ศาลสอบถามโจทก์จำเลย คู่ความแถลงรับกันว่า โจทก์ได้กู้ยืมเงินจำเลยไป 2 ครั้ง ครั้งละ 30,000 บาท จำเลยได้นำหนี้ดังกล่าวมาฟ้องโจทก์และศาลพิพากษาให้โจทก์ชำระหนี้จำเลยตามฟ้อง คดีเสร็จเด็ดขาดไปแล้ว ตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 277/2536 และ 371/2536 ของศาลชั้นต้น และศาลเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้โดยไม่จำเป็นต้องฟังพยานหลักฐานอีกจึงให้งดสืบพยานโจทก์จำเลย
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ว่า ฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 277/2536 และ 371/2536 ของศาลชั้นต้นหรือไม่โดยโจทก์ฎีกาว่าโจทก์ฟ้องให้จำเลยคืนเงินที่ได้รับไปจากโจทก์โดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้ โดยจำเลยมิได้นำไปหักใช้หนี้เงินที่โจทก์กู้ยืมมาจึงมิได้มีประเด็นอย่างเดียวกับที่ศาลวินิจฉัยไปแล้วในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 277/2536 และ 371/2536 คดีโจทก์จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำกับคดีดังกล่าว เห็นว่า ในคดีเดิมจำเลยเคยเป็นโจทก์ฟ้องคดีนี้เป็นจำเลยให้จำเลยชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินประเด็นในคดีดังกล่าวมีว่า จำเลยชำระหนี้เงินกู้แก่โจทก์แล้วหรือไม่ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์คดีถึงที่สุดแล้ว การที่จำเลยกลับมาเป็นโจทก์ยื่นฟ้องโจทก์ในคดีก่อนเป็นจำเลยในคดีนี้ขอให้คืนเงินอ้างว่าเป็นเงินที่โจทก์ชำระหนี้เงินกู้ให้แก่จำเลย แต่จำเลยมิได้นำไปหักใช้หนี้เงินที่โจทก์กู้ยืมมาประเด็นข้อพิพาทในคดีนี้จึงมีว่า จำเลยชำระหนี้เงินกู้แก่โจทก์แล้วหรือไม่นั่นเองจึงเป็นประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน ฟ้องโจทก์จึงเป็นฟ้องซ้ำ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 วรรคหนึ่ง ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องชอบแล้ว”
พิพากษายืน