คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1365/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นสั่งรับคำฟ้องโจทก์และสั่งให้โจทก์นำส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องภายใน 7 วัน หากส่งไม่ได้ให้แถลงภายใน 15 วัน นับแต่วันส่งไม่ได้ ซึ่งถือว่าโจทก์ทราบคำสั่งแล้ว ต่อมาโจทก์ยื่นคำแถลงว่าได้นำส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องแก่จำเลยที่ 2 แล้วแต่ส่งไม่ได้ขอให้จัดส่งใหม่ดังนี้ ต้องถือว่าโจทก์ได้ทราบถึงผลการส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องว่าส่งไม่ได้แล้ว เมื่อนับจากวันที่ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องไม่ได้ จนถึงวันที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าโจทก์ทิ้งฟ้องสำหรับ จำเลยที่ 2 นั้นเกิน 15 วัน แล้วการที่โจทก์ไม่แถลงเพื่อดำเนินการต่อไปภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดถือได้ว่าโจทก์เพิกเฉยไม่ดำเนินคดีภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้เพื่อการนั้นโดยชอบเป็นการทิ้งฟ้อง ชอบที่ศาลชั้นต้นจะจำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 2ออกจากสารบบความได้
คำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้จำหน่ายคดีโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 แม้จะไม่ทำให้คดีเสร็จทั้งเรื่องแต่เป็นเหตุให้คดีโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่ 2 เสร็จสิ้นไปจึงไม่ถือว่าเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา โจทก์มีสิทธิอุทธรณ์ได้.

ย่อยาว

คดีนี้ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า โจทก์ทิ้งฟ้องสำหรับจำเลยที่ ๒ให้จำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ ๒ ออกจากสารบบความ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ไม่ปรากฏว่าโจทก์มีโอกาสทราบถึงผลการส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยที่ ๒ ถือไม่ได้ว่าโจทก์ทิ้งฟ้องเกี่ยวกับจำเลยที่ ๒ ที่ศาลชั้นต้นสั่งจำหน่ายคดีเกี่ยวกับจำเลยที่ ๒ นั้น จึงไม่ชอบ พิพากษายกคำสั่งของศาลชั้นต้น ให้ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องแก่จำเลยที่ ๒ ใหม่แล้วดำเนินการต่อไป
จำเลยที่ ๒ ฎีกา
ในปัญหาว่า เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดีโจทก์สำหรับจำเลยที่ ๒ ซึ่งไม่ทำให้คดีเสร็จไปทั้งเรื่อง โจทก์จะอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นได้ทันที ก่อนที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาหรือไม่ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าเมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดีโจทก์สำหรับจำเลยที่ ๒ อันเป็นเหตุให้คดีโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่ ๒ เสร็จสิ้นไป จึงไม่ถือว่าเป็นคำสั่งในระหว่างพิจารณา โจทก์จึงมีสิทธิอุทธรณ์ได้
ในปัญหาว่าโจทก์ทิ้งฟ้องเกี่ยวกับจำเลยที่ ๒ หรือไม่ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปรากฏว่าศาลชั้นต้นมีคำสั่งในคำฟ้องว่า ให้โจทก์นำส่งสำเนาคำฟ้องและหมายเรียกให้จำเลย โดยให้โจทก์นำส่งภายใน ๗ วัน ถ้าส่งไม่ได้ให้โจทก์แถลงเพื่อดำเนินการต่อไปภายใน ๑๕ วันนับแต่วันส่งไม่ได้ หากไม่แถลงให้ถือว่าโจทก์ทิ้งฟ้อง ต่อมาเมื่อวันที่ ๑๙ ตุลาคม ๒๕๒๗ พนักงานเดินหมายได้นำหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องไปส่งให้จำเลยที่ ๒ แต่ส่งไม่ได้จึงรายงานให้ศาลชั้นต้นทราบตามรายงานการเดินหมายฉบับลงวันที่ ๒๒ตุลาคม ๒๕๒๗ ศาลชั้นต้นสั่งเมื่อวันที่ ๓๑ เดือนเดียวกัน ว่ารอฟังโจทก์ ต่อมาวันที่ ๙ พฤศจิกายน ๒๕๒๗ เจ้าหน้าที่ศาลได้รายงานต่อศาลว่า พ้นกำหนด ๑๕ วัน นับแต่วันส่งหมายเรียกและสำเนาฟ้องให้จำเลยที่ ๒ ไม่ได้แล้ว โจทก์ไม่มาแถลงเพื่อดำเนินคดี ศาลชั้นต้นสั่งว่าโจทก์ทิ้งฟ้อง ให้จำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ ๒ ออกจากสารบบความ ตามคำแถลงโจทก์ฉบับลงวันที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๒๗ ที่ขอให้จัดส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องแก่จำเลยที่ ๒ ใหม่นั้น ในคำแถลงดังกล่าวมีข้อความชัดว่าโจทก์ได้นำส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยที่ ๒ ดังนั้น ต้องถือว่าโจทก์ได้ทราบถึงผลการส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องว่าส่งไม่ได้ตั้งแต่วันที่๑๙ ตุลาคม ๒๕๒๗ ซึ่งเมื่อนับจากวันที่ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องไม่ได้จนถึงวันที่ ๙ พฤศจิกายน ๒๕๒๗ อันเป็นวันที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าโจทก์ทิ้งฟ้องสำหรับจำเลยที่ ๒ นั้นเกิน๑๕ วันแล้ว การที่โจทก์ไม่แถลงเพื่อดำเนินการต่อไปภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดถือได้ว่าโจทก์เพิกเฉยไม่ดำเนินคดีภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้เพื่อการนั้นโดยชอบแล้วตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๗๔(๒) จึงเป็นการทิ้งฟ้องแล้ว ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำสั่งของศาลชั้นต้น.

Share