แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยฟ้องแย้งให้โจทก์คืนเงินกินเปล่าโจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่าไม่เคยเรียกเกินจากจำเลย ศาลชั้นต้นเห็นว่า โจทก์เรียกเงินกินเปล่าจากจำเลยจริง แต่จำเลยได้ใช้ห้องพิพาทสมควรแก่เงินค่ากินเปล่าแล้ว พิพากษาให้ยกฟ้องแย้ง ดังนี้ แม้จำเลยจะอุทธรณ์ให้โจทก์คืนเงินกินเปล่า ที่ศาลชั้นต้นฟังว่าโจทก์เรียกจากจำเลยจริงก็ดี หากโจทก์ได้แก้อุทธรณ์ของจำเลยให้ปรากฎไว้ด้วยว่า โจทก์ไม่เคยรับเงินกินเปล่าดังกล่าวนี้เลยแล้ว ศาลอุทธรณ์ก็มีอำนาจวินิจฉัยว่าโจทก์เคยรับเงินกินเปล่ารายนี้หรือไม่ได้ เพราะประเด็นที่ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยนั้น มิใช่ว่าจะมีอยู่ในคำฟ้องอุทธรณ์เท่านั้น ในคำแก้อุทธรณ์ของอีกฝ่ายหนึ่งก็อาจตั้งประเด็นขึ้นมาให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อปลายเดือนมิถุนายน ๒๔๙+ จำเลยทำสัญญาเช่าห้องแถวของโจทก์เพื่อประกอบการค้ามีกำหนด ๓ ปี ค่าเช่าเดือนละ ๖๐๐ บาท ครบกำหนดแล้ว จำเลยยังคงเช่าต่อมาโดยไม่มีกำหนด จนเมื่อสิงหาคม ๒๕๐๒ โจทก์มีหนังสือบอกเลิกการเช่า จำเลยก็ไม่ยอมออก ทั้งผิดนัดชำระค่าเช่าด้วย จึงขอให้ศาลบังคับจำเลยและบริวารออกจากห้องพิพาท ให้จำเลยชำระค่าเช่าที่ค้าง และค่าเสียหาย
จำเลยให้การว่า จำเลยเช่าเพื่ออยู่อาศัย ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่า ฯ เมื่อครบกำหนดสัญญาเช่าแล้วจำเลยขอเช่าห้องพิพาทจากโจทก์ต่อไป โดยขอใช้ห้องชั้นบนทำเป็นโรงแรม โจทก์ขอเงินกินเปล่า จำเลยจ่ายให้แล้ว ๓๐,๐๐๐ บาท ต่อมาโจทก์ไม่ยอมอ้างว่าจะใช้ชั้นบนทำเป็นโรงแรมไม่ได้ โจทก์จึงผิดสัญญา จำเลยขอเงิน ๓๐,๐๐๐ บาทคืน โจทก์ไม่ให้ จำเลยไม่เคยได้รับคำบอกกล่าวเลิกสัญญาเช่า และไม่เคยผิดนัดชำระค่าเช่า ขอให้ยกฟ้องและฟ้องแย้งให้โจทก์คืนเงิน ๓๐,๐๐๐ บาท
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า ไม่เคยตกลงให้จำเลยทำโรงแรม และไม่เคยรับเงินกินเปล่า ๓๐,๐๐๐ บาท ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นฟังว่า จำเลยเช่าห้องพิพาทประกอบการค้า ไม่เป็นเคหะที่จะได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่า ฯ และฟังว่า จำเลยมอบเงินกินเปล่าให้โจทก์ ๓๐,๐๐๐ บาทจริงเป็นเงินค่ากินเปล่าที่จำเลยเช่าห้องพิพาททำการค้าต่อไป ไม่ใช่เพื่อทำโรงแรม แต่จำเลยได้ใช้ห้องพิพาทต่อมาอีกเกือบ ๕ ปี เป็นการสมควรแก่เงินค่ากินเปล่านั้นแล้ว จำเลยไม่ค้างชำระค่าเช่า จำเลยได้รับคำบอกกล่าวเลิกการเช่าแล้ว พิพากษาให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกไป ให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย เดือนละ ๖๐๐ บาท ให้ยกฟ้องแย้งของจำเลย
จำเลยอุทธรณ์ว่า (๑) ห้องพิพาทเป็นเคหะ (๒) ในเรื่องเงินกินเปล่า เมื่อฟังว่า จำเลยได้มอบให้โจทก์จริง และจำเลยนำสืบได้ว่ามอบให้เพื่อใช้ห้องชั้นบนเป็นโรงแรม แล้วโจทก์ผิดสัญญา ก็ต้องคืนจำเลย โจทก์ปฏิเสธว่าไม่ได้รับเงินจำนวนนี้ ทั้งไม่ได้ต่อสู้ว่าโจทก์มีสิทธิที่จะหักเงินจำนวนนี้หรือชำระให้โจทก์เพื่อที่จะอยู่ในห้องพิพาทต่อไป ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยให้ เพื่อที่จะได้ใช้สถานที่เช่าประกอบการค้าต่อไปนั้น เป็นการวินิจฉัยนอกเหนือไปจากประเด็นข้อพิพาท (๓) จำเลยไม่ได้รับหนังสือบอกเลิกการเช่า
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้ว ในปัญหาข้อ ๑และ๓ ฟังข้อเท็จจริงอย่างเดียวกับศาลชั้นต้น ส่วนในปัญหาข้อ ๒ ศาลอุทธรณ์เห็นว่า พยานหลักฐานจำเลยยังไม่พอฟังว่า โจทก์ได้รับเงินกินเปล่า ๓๐,๐๐๐ บาท จากจำเลย พิพากษายืน
จำเลยฎีกาต่อมาทั้ง ๓ ข้อ โดยเฉพาะเรื่องเงินกินเปล่า จำเลยโต้แย้งว่า โจทก์มิได้อุทธรณ์ ข้อเท็จจริงจึงยุติว่า จำเลยได้มอบเงิน ๓๐,๐๐๐ บาทให้โจทก์แล้ว ศาลอุทธรณ์จะรื้อฟื้นขึ้นวินิจฉัยว่าโจทก์ไม่ได้รับเงินจำนวนนี้อีกไม่ได้
ศาลฎีกาพิจารณาแล้ว ในปัญหาข้อ ๑ และ ๓ เห็นว่า ห้องพิพาทเป็นเคหะ และโจทก์บอกเลิกการเช่าแล้ว ส่วนปัญหาข้อ ๒ ที่จำเลยโต้แย้งว่าโจทก์มิได้อุทธรณ์ ข้อเท็จจริงจึงยุติว่า จำเลยได้มอบเงิน ๓๐,๐๐๐ บาทให้โจทก์แล้ว ศาลอุทธรณ์จะรื้อฟื้นขึ้นวินิจฉัยฟังว่าโจทก์ไม่ได้รับเงินจำนวนนี้อีกไม่ได้นั้น ความปรากฎในคำแก้อุทธรณ์ของโจทก์โต้แย้งคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นในข้อนี้ไว้ว่า โจทก์ไม่ได้รับเงินจำนวนนี้ จากจำเลย และที่โจทก์มิได้อุทธรณ์ในประเด็นข้อนี้ ก็เพราะโจทก์ได้รับผลตามคำพิพากษาที่ยกฟ้องแย้งของจำเลย
ศาลฎีกาเห็นว่า ประเด็นที่ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยนั้น มิใช่ว่าจะมีเพียงในคำฟ้องอุทธรณ์เท่านั้น ในคำแก้อุทธรณ์ของอีกฝ่ายหนึ่งก็อาจตั้งประเด็นขึ้นมาให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยได้ ในเรื่องที่โจทก์ปฏิเสธไม่ได้รับเงินกินเปล่ารายนี้ โจทก์ต่อสู้ตั้งเป็นประเด็นมาแต่ชั้นคำให้การแก้ฟ้องแย้งของจำเลยแล้ว เมื่อผลของคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้โจทก์ชนะคดีในข้อนี้แล้ว ไม่จำเป็นที่โจทก์จะต้องอุทธรณ์เพียงแต่ยกขึ้นเป็นข้อโต้แย้งในคำแก้อุทธรณ์ให้เป็นประเด็นขึ้นมา ศาลอุทธรณ์ก็มีอำนาจวินิจฉัยได้ ไม่เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นข้อพิพาทดังจำเลยกล่าวอ้าง สำหรับข้อเท็จจริงนั้นยังฟังไม่ได้ว่า จำเลยได้จ่ายเงินกินเปล่า ๓๐,๐๐๐ บาทให้โจทก์ดังข้อต่อสู้และฟ้องแย้งของจำเลย
พิพากษายืน