แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ข้อเท็จจริงได้ความว่าผู้เอาประกันชีวิตได้ชำระเบี้ยประกันงวดที่ 2 ล่าช้าไป20กว่าวันแต่ผู้รับประกันชีวิตก็รับเบี้ยประกันไว้โดยมิได้มีข้อขัดข้องโต้แย้งและในงวดที่ 3 ที่ 4 ต่อไป ผู้เอาประกันชีวิตก็ชำระเบี้ยประกันให้ตามกำหนดและผู้รับประกันก็รับไว้อีกดังนี้ ถึงแม้ตามข้อสัญญาในกรมธรรม์ประกันชีวิตจะมีข้อความซึ่งแปลความได้ว่า ถ้าผู้เอาประกันไม่ได้ส่งชำระเบี้ยประกันตามงวดที่ตกลงกันไว้ในกรมธรรม์แล้วผู้เอาประกันจะหมดสิทธิได้รับเงินสงเคราะห์ฌาปนกิจก็ตามแต่พฤติการณ์ที่ผู้เอาประกันกับผู้รับประกันปฏิบัติต่อกันดังกล่าวข้างต้นถือได้ว่าผู้เอาประกันและผู้รับประกันซึ่งเป็นคู่สัญญาต่างได้แสดงเจตนาโดยปริยายไว้ต่อกันแล้วว่าสัญญากรมธรรม์ประกันชีวิตนั้นให้คงใช้ได้ ระหว่างกันต่อไปตามเดิม ต่อมาถ้าผู้เอาประกันชีวิตถึงแก่กรรมผู้รับประกันจะอ้างเหตุว่าผู้เอาประกันขาดส่งเบี้ยประกันตามกำหนดย่อมมีผลให้กรมธรรม์รายพิพาทสิ้นสุดลงบังคับกันไม่ได้ต่อไปตามข้อสัญญาที่กำหนดไว้ในกรมธรรม์นั้น หาได้ไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคล จำเลยที่ 2 เป็นผู้จัดการสาขาอุบลฯ เป็นผู้แทนของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ตกลงรับประกันชีวิตนางบุญมา คำพันธ์ อายุ 50 ปี โดยตกลงรับประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์อุปัทวเหตุและฌาปนกิจ ตีราคาแบบสะสมทรัพย์ 10,000 บาทฌาปนกิจ 10,000 บาท กำหนดเวลารับประกัน 15 ปี คิดเบี้ยประกันราย 3 เดือนเป็นเงินงวดละ 282.10 บาทและกำหนดให้ใช้เงินแก่โจทก์ทั้งสอง (ผู้รับประโยชน์) ตามกรมธรรม์ที่ 28474 นางบุญมาได้ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 15 กันยายน 2500 โจทก์ได้ติดต่อขอรับเงินชดใช้ในการตายของนางบุญมา จำเลยไม่ยอมจ่ายเงินให้ตามสัญญาจึงขอให้บังคับจำเลยใช้เงินแก่โจทก์ 20,000 บาทพร้อมทั้งดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสองให้การต่อสู้คดี
ในวันนัดชี้สองสถานโจทก์จำเลยแถลงรับกันว่าจำเลยที่ 2 เป็นตัวแทนของจำเลยที่ 1 จริง นางบุญมาประกันชีวิตไว้กับจำเลยที่ 1 เป็น 3 แบบ คือ แบบสะสมแบบอุปัทวเหตุและแบบสงเคราะห์ฌาปนกิจแบบสะสม จำเลยยอมชำระให้โจทก์ 10,000 บาท โดยไม่ได้โต้แย้งแบบอุปัทวเหตุ ไม่มีปัญหาโต้แย้งคงโต้แย้งกันเฉพาะแบบสงเคราะห์ฌาปนกิจเท่านั้น และรับข้อเท็จจริงกันว่า การส่งเบี้ยประกันภัยในรอบปีหนึ่ง ๆ นั้น แบ่งชำระเป็นงวด ๆ งวดที่ 1 ชำระภายในวันที่ 4 พฤศจิกายน งวดที่ 2 ชำระภายในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ งวดที่ 3 ชำระภายในวันที่ 4 พฤษภาคม และงวดที่ 4 ชำระภายในวันที่ 4 สิงหาคม สำหรับงวดที่ 2 ที่นางบุญมาจะต้องชำระภายในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2500 นั้น นางบุญมาได้ชำระเบี้ยประกันภัยเกินกำหนดไป 20 กว่าวัน และต่อมาในงวดที่ 3 และที่ 4 ของปี พ.ศ. 2500 นั้นนางบุญมาได้ชำระภายในกำหนด จำเลยก็ได้รับไว้ต่อมาวันที่ 15 กันยายน 2500 นางบุญมาถึงแก่กรรม โจทก์เป็นผู้รับประโยชน์จากกรมธรรม์รายนี้ ข้อที่โต้เถียงกันก็คือ โจทก์ว่า แม้นางบุญมาจะส่งเบี้ยประกันงวดที่ 2 เลยกำหนด แต่จำเลยก็รับเบี้ยประกันงวดที่ 3 และที่ 4 ไว้ จำเลยจึงต้องรับผิด ส่วนจำเลยว่า เมื่อนางบุญมาส่งล่วงเลยกำหนด สัญญากรมธรรม์ก็ใช้ไม่ได้ แม้จำเลยจะได้รับเงินงวดที่ 2, 3 และ 4 ไว้ก็ดี ก็ไม่ทำให้กรมธรรม์มีผลบังคับ โจทก์จำเลยต่างไม่สืบพยานในข้อนี้โดยจำเลยขอส่งกรมธรรม์รายนี้และบัตรสงเคราะห์ฌาปนกิจต่อศาล 2 ฉบับ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ใช้เงินตามแบบสะสมทรัพย์ 10,000 บาท และตามแบบสงเคราะห์ฌาปนกิจอีก 10,000 บาท รวม 20,000 บาทให้โจทก์พร้อมทั้งดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้อง ส่วนจำเลยที่ 2 เป็นเพียงตัวแทนไม่ต้องรับผิด ให้ยกฟ้องเฉพาะจำเลยที่ 2
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า แม้ตามข้อสัญญาในกรมธรรม์รายพิพาทในตอนท้ายซึ่งแปลความได้ว่า ถ้าผู้เอาประกันไม่ได้ส่งชำระเบี้ยประกันตามงวดที่ตกลงกันในกรมธรรม์แล้ว ผู้เอาประกันจะหมดสิทธิได้รับเงินสงเคราะห์ฌาปนกิจก็ตาม แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่านางบุญมาผู้เอาประกันชำระเบี้ยประกันงวดที่ 2ล่าช้าไป 20 กว่าวัน จำเลยที่ 1 ก็รับเบี้ยประกันไว้โดยมิได้มีข้อขัดข้องโต้แย้ง และในงวดที่ 3 ที่ 4 ต่อไป นางบุญมาก็ชำระเบี้ยประกันให้ตามกำหนด จำเลยที่ 1ก็รับไว้อีกเช่นนี้ ย่อมแสดงให้เห็นว่า นางบุญมาผู้เอาประกันและจำเลยที่ 1 ผู้รับประกันซึ่งเป็นคู่สัญญาได้แสดงเจตนาโดยปริยายไว้ต่อกันแล้วว่า สัญญากรมธรรม์รายพิพาทนี้ให้คงใช้ได้ระหว่างกันต่อไป แม้จะถืออย่างที่จำเลยที่ 1 ฎีกาขึ้นมาว่า ตามข้อสัญญาทันทีที่นางบุญมาขาดส่งเบี้ยประกันตามกำหนดย่อมมีผลให้กรมธรรม์รายพิพาทสิ้นสุดลง บังคับกันไม่ได้ต่อไปก็ตาม ก็ไม่เห็นมีอะไรห้ามที่จะไม่ให้คู่สัญญามาตกลงกันใหม่ว่าสัญญากรมธรรม์ที่สิ้นสุดไปแล้วนั้นให้คงใช้ได้ต่อไปตามเดิม พฤติการณ์เท่าที่นางบุญมาผู้เอาประกันกับจำเลยที่ 1 ผู้รับประกันปฏิบัติต่อกันดังกล่าวข้างต้นนั้นแหละเป็นการแสดงเจตนาโดยปริยายที่จะให้สัญญากรมธรรม์รายพิพาทคงใช้ได้ขอไปตามเดิมนั่นเอง ข้อที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า สัญญาประกันชีวิตเมื่อเลิกกันแล้วจะเกิดขึ้นได้อีกก็ต้องทำเป็นหนังสือนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อคู่สัญญาตกลงกันให้สัญญาเดิมที่ทำกันเป็นหนังสืออยู่แล้วคงใช้ได้ต่อไป ก็หาต้องทำเป็นหนังสือขึ้นใหม่อีกไม่พิพากษายืน