แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่สามีจะยกที่ดินซึ่งเป็นสินบริคณห์ให้แก่ใครโดยเสน่หาได้นั้น จะต้องได้รับความยินยอมเป็นหนังสือจากภริยา ถ้าภริยาไม่ได้ยินยอมเป็นหนังสือ การให้นั้นไม่สมบูรณ์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นภรรยาชอบด้วยกฎหมายของนายรอด นายรอดได้จดทะเบียนยกที่ดิน 2 แปลงให้แก่จำเลยทั้งสาม เป็นการให้โดยเสน่หาและโจทก์มิได้รู้เห็นยินยอม จำเลยประพฤติเนรคุณ ขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอนการจดทะเบียนยกให้
จำเลยต่อสู้ว่า ที่พิพาทเป็นสินเดิมของนายรอด นายรอดโอนที่พิพาทให้จำเลยทั้งสามโดยมีค่าตอบแทน โจทก์รู้แต่มิได้คัดค้านจำเลยไม่ได้เนรคุณ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้เพิกถอนสัญญายกให้ ให้จำเลยส่งมอบที่พิพาทแก่โจทก์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ที่ดินโฉนดที่ 6479 เป็นสินเดิมของนายรอดที่ดินโฉนดที่ 6471 เป็นสินสมรสระหว่างโจทก์กับนายรอด ที่ดินทั้งสองแปลงจึงเป็นสินบริคณห์ระหว่างโจทก์กับนายรอด นายรอดผู้สามีมีอำนาจจำหน่ายได้ แต่ถ้าเป็นการให้โดยเสน่หาแล้ว ต้องได้รับความยินยอมของภริยาเสียก่อน เว้นแต่การให้ตามสมควรในทางศีลธรรมอันดีหรือในทางสมาคม ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1473(3) ข้อเท็จจริงฟังได้ว่านายรอดได้โอนที่พิพาทให้แก่จำเลยโดยเสน่หาประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1476 บัญญัติว่า ความยินยอมในกรณีซึ่งต้องจดทะเบียนการโอนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เช่นนี้ต้องทำเป็นหนังสือ เพียงแต่จำเลยอ้างว่าโจทก์รู้เห็นยินยอมในการโอนแต่ความยินยอมมิได้ทำเป็นหนังสือ จึงฟังว่าการโอนที่พิพาทได้ทำด้วยความยินยอมหาได้ไม่
พิพากษายืน