แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
พระภิกษุเมาสุราไปด่าท้าทายจำเลย จำเลยไปแจ้งความต่อผู้ใหญ่บ้าน ผู้ใหญ่บ้านแนะนำให้ไปแจ้งต่อเจ้าคณะหมวดเพราะผู้ด่าท้าทายเป็นสงฆ์ จำเลยจึงไปร้องต่อเจ้าคณะหมวด เจ้าคณะหมวดเรียกพระภิกษุนั้นมาแจ้งข้อหาให้ทราบ พระภิกษุปฏิเสธ จำเลยยืนยันต่อหน้าบุคคลหลายคนว่าพระภิกษุนั้นเมาสุราไปด่าท้าทายจริงๆ จนในที่สุดเจ้าคณะหมวดไกล่เกลี่ยยอมเลิกแล้วต่อกัน ดังนี้ ถือได้ว่าจำเลยกล่าวโดยสุจริตตาม กฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 283(1)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานแจ้งความเท็จและหมิ่นประมาทตามกฎหมายลักษณะอาญามาตรา 118, 158, 282
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยที่ 1 ผิดตามกฎหมายลักษณะอาญามาตรา 118, 282 จำเลยที่ 2 ผิดตามมาตรา 282
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกา เชื่อคำพยานจำเลย ฟังข้อเท็จจริงว่าวันโจทก์หาโจทก์เมาสุรามาด่าท้าทายนายหรั่งอยู่ห่างบ้านจำเลยราว 1 เส้น จำเลยที่ 1 ใช้จำเลยที่ 2 ออกไปดู จำเลยที่ 2 ไปดูห่างโจทก์เพียง 5 วา แล้วกลับมาบอกจำเลยที่ 1 ผู้เป็นมารดา จำเลยที่ 1 จึงไปร้องเรียนต่อนายคำผู้ทำการแทนผู้ใหญ่บ้าน ขอให้เรียกโจทก์มาว่ากล่าวตักเตือน นายคำแนะนำให้ไปร้องต่อเจ้าคณะหมวด เพราะโจทก์เป็นสงฆ์ จำเลยจึงไปร้องต่อพระภิกษุปลั่งเจ้าอาวาสวัดหลักร้อยเจ้าคณะหมวด พระภิกษุปลั่งเรียกโจทก์มาชี้แจงข้อหาจำเลยให้โจทก์ทราบ โจทก์ปฏิเสธ จำเลยทั้งสองยืนยันต่อหน้าบุคคลมากด้วยกันว่าโจทก์เมาสุราไปด่าท้าทายจริง ๆ พระภิกษุปลั่งเปรียบเทียบให้เลิกแล้วต่อกัน โจทก์ไม่ยอม ต่อมาอีก พระภิกษุปลั่งเรียกคู่ความมาใหม่ จำเลยทั้ง 2 ก็ยังยืนยันตามเดิม ผลที่สุดยอมเลิกแล้วต่อกันบันทึกข้อความลงชื่อคู่พิพาทและพยานไว้
ได้ความดังนี้ ศาลฎีกาเห็นว่า ในข้อแจ้งความเท็จจึงฟังไม่ขึ้น ข้อหาฐานหมิ่นประมาท จำเลยไม่มีความผิด เพราะจำเลยได้กล่าวโดยสุจริตตามกฎหมายลักษณะอาญามาตรา 283(1) จึงพิพากษายืนให้ยกฎีกาโจทก์