คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 61/2530

แหล่งที่มา : ADMIN

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องให้จำเลยชำระเงินตามสัญญากู้ยืมซึ่งจำเลยให้การว่าลงชื่อโดยถูกบังคับหรือหลอกลวงโดยในสัญญากู้มิได้กรอกข้อความใดและไม่เคยรับเงิน จึงเป็นการต่อสู้ว่าสัญญากู้เงินไม่สมบูรณ์ ภาระการพิสูจน์ตกแก่โจทก์ และโจทก์มีหน้าที่นำสืบก่อน แต่เมื่อโจทก์นำสืบได้ความว่ามีการกู้ยืมแล้ว จำเลยจึงต้องมีภาระการพิสูจน์ให้ศาลเห็นตามข้อต่อสู้
ผู้เข้ามาเป็นคู่ความแทนที่จำเลยเพียงแต่มีหน้าที่ดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปแทนจำเลยซึ่งถึงแก่กรรมในระหว่างพิจารณาเท่านั้น ศาลจะพิพากษาให้ต้องรับผิดในหนี้ของจำเลยแทนจำเลยด้วยไม่ได้ กรณีต้องบังคับเอาจากกองมรดกของจำเลย
แม้คำฟ้องจะมิได้บรรยายว่าคิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเท่าใดแต่ตามสัญญากู้ยอมให้คิดดอกเบี้ยอัตราตามกฎหมาย และโจทก์มีคำขอดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี เมื่อเห็นว่าดอกเบี้ยที่โจทก์คิดมาเกินอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีศาลฎีกามีอำนาจแก้ให้ถูกต้องได้.(ที่มา-ส่งเสริม)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกู้เงินจากโจทก์จำนวน 67,410 บาท โดยทำสัญญากู้ว่าจะชำระต้นเงินพร้อมดอกเบี้ยคืนแก่โจทก์ภายในเดือนเมษายน 2525 ครบกำหนดจำเลยไม่ชำระ จึงขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยชำระต้นเงินและดอกเบี้ยรวมเป็นเงิน 76,674 บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน 67,410 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเงินเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่าไม่เคยกู้ยืมเงินโจทก์ แต่ลงชื่อในสัญญากู้เพราะโจทก์บังคับโดยขณะลงชื่อในสัญญายังไม่ได้กรอกข้อความใดๆ จำเลยไม่เคยรับเงินตามสัญญากู้ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา จำเลยถึงแก่กรรม นางอ้วน ราชบัณฑิต ภริยาจำเลยขอเข้าเป็นคู่ความแทนที่จำเลย ศาลอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ นางอ้วน ราชบัณฑิต ผู้เข้ามาเป็นคู่ความแทนที่จำเลยชำระเงินให้โจทก์จำนวน 76,674 บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี จากต้นเงิน 67,410 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ‘ตามคำให้การของจำเลยและพยานหลักฐานที่โจทก์จำเลยนำสืบรับกันข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า จำเลยได้ลงลายมือชื่อในหนังสือสัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.1 จริง ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยมีว่า จำเลยจะต้องรับผิดตามสัญญากู้เงินดังกล่าวหรือไม่ ซึ่งจำเลยให้การต่อสู้ว่า โจทก์บังคับหรือหลอกลวงให้จำเลยลงชื่อในสัญญาที่ยังไม่ได้กรอกข้อความอะไรลงในสัญญาเลย และไม่เคยรับเงินตามสัญญาจากโจทก์ จึงเป็นการต่อสู้ว่าสัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.1 ไม่สมบูรณ์ ภาระการพิสูจน์ตกแก่โจทก์และโจทก์มีหน้าที่นำสืบก่อนซึ่งโจทก์มีตัวโจทก์มาเบิกความยืนยันว่า เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2524 จำเลยได้มากู้เงินจากโจทก์ไป 67,410 บาท จำเลยได้รับเงินจำนวนดังกล่าวไปจากโจทก์ครบถ้วนแล้ว และได้ทำหนังสือสัญญากู้ไว้เป็นหลักฐาน โดยโจทก์มีหนังสือสัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.1 มาสนับสนุนคำของโจทก์และในเอกสารหมาย จ.1 ได้ระบุไว้ว่า จำเลยได้รับเงินไปครบถ้วนเสร็จแล้วแต่วันทำสัญญานี้ แม้โจทก์จะไม่มีผู้เขียนสัญญาและบุคคลที่ลงชื่อเป็นพยานในสัญญามาสืบข้อเท็จจริงก็รับฟังได้ตามที่โจทก์สืบมาดังกล่าวแล้ว ในเมื่อจำเลยต่อสู้อ้างว่า โจทก์บังคับหลอกลวงให้จำเลยลงชื่อในสัญญาเอกสารหมาย จ.1 โดยยังไม่ได้กรอกข้อความอะไรลงในสัญญาเลย และจำเลยไม่ได้รับเงินตามสัญญากู้ดังกล่าว จำเลยจึงมีภาระการพิสูจน์ให้ศาลเห็นตามข้อต่อสู้ของจำเลย แต่จำเลยมีนางอ้วน ราชบัณฑิต ภริยาจำเลยมาเบิกความว่า เมื่อเดือนสิบ ปีพ.ศ. 2524 หลังจากนายมีชัย ราชบัณฑิต บุตรชายจำเลยกลับจากรักษาตัวที่โรงพยาบาลแล้ว โจทก์ไม่ยอมให้นายมีชัยซึ่งเป็นบุตรเขยของโจทก์เข้าบ้าน จึงได้เรียกเถ้าแก่ทั้งสองฝ่ายมาช่วยเจรจา ฝ่ายโจทก์เสนอว่าหากให้นายมีชัยอยู่กินกับนางอุดมบุตรสาวโจทก์ต่อไปแล้วจำเลยต้องทำสัญญารับรองว่าไม่ให้นายมีชัยกับนางอุดมแยกกัน จำเลยตกลงและยอมลงชื่อในแบบฟอร์มของสัญญาที่ยังไม่ได้กรอกข้อความอะไรเลย แต่จะเป็นแบบฟอร์มสัญญาอะไรไม่ทราบ สัญญาทำที่บ้านโจทก์ ขณะทำสัญญานายมีชัย นายคำเทพศรีเมือง นายเนาว์ ถิ่นมะนาว ผู้ใหญ่บ้าน และนายต๋อง พิกุล อยู่ด้วย จะเห็นได้ว่าคำนางอ้วนพยานจำเลยมิได้ยืนยันว่าสัญญาที่ทำกันดังกล่าวได้ทำกันในวันที่ 2 กันยายน 2524 ซึ่งเป็นวันที่ทำสัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.1 และแบบฟอร์มของสัญญาที่โจทก์ให้จำเลยลงชื่อก็มิได้ยืนยันว่าเป็นแบบฟอร์มสัญญากู้เงิน ทั้งยืนยันว่าสัญญาทำกันที่บ้านโจทก์ แต่ปรากฏตามเอกสารหมาย จ.1 ว่า สัญญาทำที่ที่ทำการผู้ใหญ่บ้าน นอกจากนี้นายมีชัยบุตรจำเลยซึ่งอยู่ในขณะทำสัญญาตามที่นางอ้วนเบิกความมาด้วยได้เบิกความยืนยันว่า สัญญาที่จำเลยลงชื่อไม่ใช่สัญญาตามเอกสารหมาย จ.1 ส่วนนายต๋องพยานจำเลยก็เพียงแต่รู้เห็นว่าฝ่ายโจทก์กับจำเลยมีการเจรจาเกี่ยวกับนายมีชัยและนางอุดมและมีการทำสัญญากันแต่ทำสัญญากันอย่างไร นายต๋องไม่ทราบจึงเห็นได้ว่า สัญญาตามที่นางอ้วนภริยาจำเลยเบิกความดังกล่าวข้างต้นเป็นคนละฉบับกับสัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.1 และจำเลยก็มิได้พิสูจน์ให้ศาลเห็นถึงข้อพิรุธของเอกสารดังกล่าวดังนั้นจำเลยจึงนำสืบพิสูจน์ให้ศาลเห็นไม่ได้ว่า จำเลยลงชื่อในเอกสารหมาย จ.1 โดยโจทก์บังคับหรือหลอกลวง และเอกสารหมาย จ.1ยังไม่ได้กรอกข้อความอะไรลงในสัญญาเลย ข้อนำสืบของจำเลยจึงไม่มีทางที่จะชนะคดีโจทก์ ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
อนึ่งที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้นางอ้วนราชบัณฑิต ผู้เข้ามาเป็นคู่ความแทนที่จำเลยชำระหนี้ให้โจทก์นั้นยังคลาดเคลื่อนอยู่ เพราะนางอ้วนเพียงแต่เข้ามาดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปแทนจำเลยซึ่งถึงแก่กรรมในระหว่างพิจารณาเท่านั้น จะพิพากษาให้นางอ้วนชำระหนี้เงินกู้ที่จำเลยกู้ไปแก่โจทก์ไม่ได้ ต้องพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์ถึงแม้จำเลยจะถึงแก่กรรมไปแล้ว ในชั้นบังคับคดีก็บังคับเอาจากกองมรดกของจำเลยได้ อีกประการหนึ่งสำหรับดอกเบี้ยในสัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.1 มิได้ระบุว่าให้จำเลยตกลงคิดดอกเบี้ยแก่โจทก์ในอัตราร้อยละเท่าใด คงมีแต่ข้อ 6 ระบุว่า ถ้าจำเลยผิดสัญญายอมให้โจทก์ฟ้องเรียกเงินต้นและดอกเบี้ยจากจำเลยตามกฎหมาย ประกอบกับคำขอของโจทก์ท้ายฟ้องก็ขอมาในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี จึงให้โจทก์คิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ทำสัญญาคือวันที่ 2 กันยายน 2524 แต่ตามฟ้องของโจทก์คิดดอกเบี้ยจากจำเลยตั้งแต่วันทำสัญญาจนถึงวันฟ้องคือวันที่ 17 กันยายน 2525 เป็นเงินดอกเบี้ย 9,264 บาท โดยมิได้บรรยายฟ้องว่า คิดในอัตราร้อยละเท่าใด ศาลฎีกาเห็นว่าดอกเบี้ยจำนวนดังกล่าวน่าจะเกินอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี จำเลยฎีกาขอให้ยกฟ้องโจทก์ ศาลฎีกาจึงมีอำนาจแก้ให้ถูกต้องได้
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงินต้นจำนวน 67,410 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันทำสัญญา จนกว่าจะชำระเงินเสร็จแก่โจทก์’.

Share