แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
หนี้ตามหนังสือสัญญากู้ที่ฟ้องคือดอกเบี้ยเกินอัตราตามที่กฎหมายกำหนดไว้ ซึ่งจำเลยต้องชำระแก่โจทก์ โจทก์หาได้ส่งมอบเงินที่ว่าให้กู้กันนั้นแก่จำเลยไม่ สัญญากู้ที่ฟ้องตกเป็นโมฆะ จึงไม่มีหนี้ตามที่ฟ้อง โจทก์ฟ้องจำเลยให้เป็นบุคคลล้มละลายไม่ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทำหนังสือสัญญากู้และรับเงินไปจากโจทก์24,000 บาท มิได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยและกำหนดชำระเงินต้น ขอคิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 7 ครึ่งต่อปี จำนวน 5 ปี รวมเป็นเงินต้นและดอกเบี้ย33,000 บาท โจทก์ทวงถามหลายครั้ง จำเลยผัดผ่อนเรื่อยมาโจทก์มอบให้ทนายมีหนังสือทวงถาม 2 ครั้ง ซึ่งมีระยะห่างกันไม่น้อยกว่า 30 วัน ก็ไม่ชำระถือได้ว่าจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัว ขอให้ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาด และพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลาย
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่ใช่บุคคลมีหนี้สินล้นพ้นตัว ยังสามารถและมีทรัพย์สินพอชำระหนี้ได้ ปี พ.ศ. 2503 จำเลยกู้เงินโจทก์ 10,000 บาท โจทก์คิดดอกเบี้ยร้อยละสิบต่อเดือน ต่อมา พ.ศ. 2505 โจทก์แจ้งให้จำเลยทราบว่าไม่ได้รับดอกเบี้ยครบ 2 ปีเป็นเงิน 24,000 บาท ให้จำเลยทำสัญญากู้ให้ มิฉะนั้นจะฟ้อง จำเลยจึงทำสัญญากู้ฉบับที่โจทก์นำมาฟ้องไว้ ปี 2507 จำเลยนำเงิน 10,000 บาท ไปชำระต้นเงินให้โจทก์แล้วหนี้ตามสัญญากู้ที่ฟ้องเกิดจากการเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา เป็นหนี้ที่ไม่สมบูรณ์ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยเป็นบุคคลล้มละลาย
ศาลชั้นต้นเห็นว่า หนี้ที่โจทก์ฟ้องกำหนดจำนวนเงินที่แน่นอนไม่ได้จำเลยยังสามารถชำระหนี้ได้ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า สัญญากู้ฉบับที่ฟ้องไม่สมบูรณ์ ไม่มีหนี้สินที่โจทก์จะยกขึ้นอ้างได้ พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า รูปคดีมีเหตุผลหลายประการให้น่าเชื่อว่าหนี้สินตามหนังสือสัญญากู้ที่ฟ้องคือ ดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดไว้ ซึ่งจำเลยค้างชำระแก่โจทก์ โจทก์หาได้ส่งมอบเงินที่ว่าให้กู้กันนั้นแก่จำเลยไม่ สัญญากู้ที่ฟ้องจึงตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 113 จึงไม่มีหนี้เงินตามที่ฟ้อง โจทก์จึงฟ้องจำเลยให้เป็นบุคคลล้มละลายไม่ได้ ไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยว่า จำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัวหรือไม่
พิพากษายืน