คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 13572/2556

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีนี้ แม้เป็นคดีเกี่ยวกับการบังคับวงศ์ญาติทั้งหลายและบริวารของผู้ถูกฟ้องขับไล่ออกจากอสังหาริมทรัพย์อันมีค่าเช่าหรืออาจให้เช่าได้ในขณะยื่นคำฟ้องไม่เกินเดือนละหนึ่งหมื่นบาท ซึ่งคู่ความในคดีต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริง แต่เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษากลับ โจทก์จึงมีสิทธิฎีกาได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248 วรรคสาม

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 319 ตำบลดอนกระเบื้อง อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี กับเรียกค่าเสียหาย จำเลยให้การต่อสู้คดีขอให้ยกฟ้อง ระหว่างพิจารณา จำเลยถึงแก่ความตาย ศาลชั้นต้นมีคำสั่งตั้งนายสมเกียรติ บุตรจำเลยเป็นคู่ความแทนที่จำเลย แล้วพิพากษาให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่ดินดังกล่าวกับให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ หลังจากนั้น โจทก์ยื่นคำร้องว่าบริวารของจำเลยไม่ปฏิบัติตามคำบังคับโดยยังคงอยู่ในที่ดินพิพาท ขอให้ศาลตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการต่อไป
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดี ต่อมาศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จับกุมและกักขังผู้ร้องกับพวกอีกหลายคนซึ่งโจทก์อ้างเป็นบริวารของจำเลยที่ยังอยู่ในที่ดิน เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมผู้ร้องได้ตามหมายจับและนำตัวผู้ร้องมาส่งศาลแล้วมีผู้รับประกันตัวผู้ร้องไป ระหว่างที่โจทก์ดำเนินการตรวจสอบเรื่องการปฏิบัติตามคำบังคับ ผู้ร้องยื่นคำร้องว่าผู้ร้องย้ายออกจากบ้านในที่ดินของโจทก์ไปเช่าบ้านอยู่ที่อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี และต่อมาได้ซื้อบ้านหลังใหม่ไว้แล้ว ขอให้เพิกถอนหมายจับผู้ร้อง
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ว มีคำสั่งให้เพิกถอนสัญญาประกัน และให้กักขังผู้ร้องไว้จนกว่าจะยอมปฏิบัติตามคำบังคับ แต่มิให้เกิน 6 เดือน
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษากลับว่า ไม่กักขังผู้ร้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ แม้เป็นคดีที่เกี่ยวกับการบังคับวงศ์ญาติทั้งหลายและบริวารของผู้ถูกฟ้องขับไล่ออกจากอสังหาริมทรัพย์อันมีค่าเช่าหรืออาจให้เช่าได้ในขณะยื่นคำฟ้องไม่เกินเดือนละหนึ่งหมื่นบาท ซึ่งคู่ความในคดีต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริง แต่เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษากลับ โจทก์จึงมีสิทธิฎีกาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคสาม มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า ผู้ร้องได้ออกไปจากที่ดินพิพาทแล้วหรือไม่ ผู้ร้องเบิกความยืนยันว่าได้จดทะเบียนหย่ากับนายสมเกียรติ ซึ่งเป็นบุตรของจำเลย และผู้ร้องย้ายออกจากที่ดินพิพาทไปพักอาศัยอยู่บ้านเลขที่ 18/25 หมู่ที่ 15 ตำบลหนองอ้อ อำเภอบ้านโป่งจังหวัดราชบุรี ซึ่งผู้ร้องกับบุตรได้ร่วมกันซื้อมาแล้ว ตามสำเนาหนังสือสัญญาซื้อขายที่ดิน หนังสือสัญญาจำนองที่ดินเป็นประกัน โฉนดที่ดิน และสำเนาทะเบียนบ้าน กับมีภาพถ่ายบ้านของผู้ร้องมาแสดง ส่วนโจทก์ไม่ได้ยื่นคำคัดค้านและไม่นำพยานเข้าไต่สวนโต้แย้งว่าผู้ร้องยังคงอยู่ในที่ดินพิพาท การที่ผู้ร้องไม่ได้นำนายสมเกียรติและบุตรของผู้ร้องมาเบิกความสนับสนุนก็เป็นสิทธิของผู้ร้องที่จะนำพยานคนใดมาไต่สวนก็ได้หาได้เป็นข้อพิรุธไม่ส่วนการที่นายสมเกียรติยังไม่ได้ออกไปจากที่ดินพิพาทก็เป็นเรื่องที่โจทก์และเจ้าพนักงานบังคับคดีจะดำเนินการให้นายสมเกียรติออกไปหาได้เกี่ยวกับผู้ร้องไม่ พยานหลักฐานที่ผู้ร้องนำสืบมารับฟังได้ว่า ผู้ร้องได้ออกจากที่ดินพิพาทของโจทก์แล้ว กรณีไม่มีเหตุที่จะต้องกักขังผู้ร้องอีกต่อไป ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาไม่ให้กักขังผู้ร้องมานั้นชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง ศาลอุทธรณ์ภาค 7 มิได้สั่งค่าฤชาธรรมเนียม ศาลฎีกาเห็นสมควรสั่งให้ถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 161 และ 167
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์และฎีกาให้เป็นพับ

Share