คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1356-1521/2501

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การกระทำผิดต่างกรรมต่างวาระกันถึง 166 ครั้ง นั้นเพื่อความสะดวกศาลแขวงจะรวมคดีทั้ง 166 สำนวนพิจารณาพิพากษารวมกันก็ได้และเมื่อศาลแขวงลงโทษจำคุกจำเลยแต่ละสำนวนโดยมีกำหนดโทษซึ่งอยู่ในอำนาจศาลแขวงที่จะลงแล้ว แม้ในที่สุดจำเลยจะต้องรับโทษถึง 2490 วัน ก็ย่อมทำได้
การลงโทษเรียงสำนวนทั้ง 166 สำนวน พึงให้นับโทษติดต่อกันไปไม่จำต้องรวมโทษทุกสำนวนเข้าด้วยกันแล้วคิดทอนจากวันเป็นปีเดือน เพราะจะทำให้จำเลยต้องรับโทษจริงเกินกว่าโทษที่จะต้องรับโดยการนับโทษติดต่อ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยสมคบกันยักยอกเงินของกระทรวงอุตสาหกรรมโดยแยกฟ้องเป็น 166 สำนวน เพราะจำเลยกระทำผิดต่างวันเวลากัน

จำเลยรับสารภาพตามฟ้องโจทก์ทุกสำนวน

ศาลแขวงนครราชสีมาพิพากษาว่าจำเลยผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 352 และ 83 ให้จำคุกจำเลยแต่ละสำนวนคนละ 1 เดือนลดกึ่งหนึ่งคงจำคุกแต่ละสำนวนคนละ 15 วัน โดยให้นับโทษติดต่อกันไปซึ่งเมื่อรวมโทษทั้ง 166 สำนวนแล้ว เป็นโทษจำคุกคนละ 6 ปี 11 เดือนให้จำเลยช่วยกันคืนหรือใช้เงินแก่เจ้าทรัพย์

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ว่า ความผิดของจำเลยเป็นการกระทำต่อเนื่องกันมา จึงเป็นกรรมเดียวกัน เมื่อศาลชั้นต้นซึ่งเป็นศาลแขวงรวมพิจารณาพิพากษาแล้วจะลงโทษจำเลยเกิน 6 เดือน ไม่ได้ และจะนับโทษเรียงแต่ละสำนวนเป็น 13 ปี 10 เดือน ก็ไม่ได้

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกาว่า เมื่อลดโทษแล้วจะลงโทษจำคุกจำเลยไว้เพียงคนละ3 เดือน เท่านั้น

ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยกระทำผิดหลายกรรมต่างวาระกัน โจทก์ฟ้องเป็น 166 สำนวน จำเลยรับสารภาพตลอดทุกสำนวน แม้การยักยอกจะกระทำต่อเนื่องกันมา ก็หาใช่เป็นกรรมเดียวกันดังจำเลยฎีกาไม่ศาลแขวงพิจารณาพิพากษาคดีรวมกันก็เพื่อความสะดวก เมื่อลดโทษแล้วเหลือจำคุกคนละ 15 วัน ต่อ 1 สำนวน ย่อมอยู่ในอำนาจศาลแขวงที่จะพิพากษาได้

โทษของจำเลยเมื่อรวมกันทุกสำนวนแล้วคงเป็น 2490 วัน แต่ที่ศาลล่างคิดคำนวณเป็น 6 ปี 11 เดือนโดยทอนจากวันเป็นปีเดือนนั้นทำให้เป็นผลร้ายแก่จำเลยเพราะจำเลยจะต้องรับโทษจริงเกินกว่า2490 วันไป ศาลฎีกาเห็นว่าไม่จำเป็นต้องรวมโทษจำเลยทุกสำนวนแล้วคิดคำนวณเป็นปีเดือน จึงพิพากษาแก้ให้จำคุกจำเลยแต่ละสำนวนคนละ 15 วัน โดยให้นับโทษติดต่อกันไปเท่านั้น

Share