แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ปลูกสร้างโรงเรือนและต้นลำใยลงในที่ ๆ โจทก์ซื้อแต่ยกให้จำเลย การปลูกโรงเรือนและต้นผลไม้นี้ทำให้ราคาที่ดังกล่าวเพิ่มขึ้น เมื่อโจทก์จะออกไปจากที่ โจทก์มีสิทธีเรียกร้องให้จำเลยชำระราคาสิ่งปลูกสร้างคือค่าเรือนโรงและต้นผลไม้เอาจากจำเลยได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าเมื่อประมาณ ๑๘ ปี โจทก์ซื้อที่ตำบลเหมืองง่า อ.เมือง จ.ลำพูน ๑ ไร่เศษเพื่อทำเป็นที่อาศัย แต่โดยที่โจทก์เป็นคนต่างด้าวจึงใช้ชื่อจำเลยซื้อแทน ต่อมาโจทก์ได้ปลูกเรือนขึ้นอยู่ ๓ หลัง ราคา ๑๐,๐๐๐ บาท และปลูกลำใย ๒๐,๐๐๐ บาท ครั้นมาเมื่อเดือน มีนาคม ๒๔๙๘ จำเลยกับนางจันทร์เที่ยงภรรยาโจทก์ซึ่งเป็นลูกจำเลยคิดโลภ ได้ขับไล่โจทก์ โจทก์จึงขอเรียกเอาค่าเรือนและค่าต้นลำใย และค่าผลลำใยที่จเลยเก็บขายรวม ๓๒,๐๐๐ บาท พร้อมกับดอกเบี้ยร้อยละ ๗ ครึ่งต่อปีจนกว่าจะชำระเสร็จ (ส่วนที่ดินนั้นโจทก์ยอมไม่เรียกเอา)
จำเลยต่อสู้ว่า ที่เรีอน ต้นลำใยเป็นของจำเลย โจทก์เป็นแต่ผู้อาศัย
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า หลักฐานเชื่อว่าโจทก์ซื้อที่แล้วยกให้จำเลยโดยเสน่หา และฟังต่อไปว่าเรือนและลำใยโจทก์ก็ปลูก จึงเข้าในลักษณะที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่ง มาตรา ๑๓๑๐ ที่ว่า บุคคลใดสร้างโรงเรือนในที่ดินของผู้อื่นโดยสุจริต ท่านว่าเจ้าของที่ดินเป็นเจ้าของโรงเรือนนั้น ๆ แต่ต้องใช้ + แห่งที่ดินที่เพิ่มขึ้นเพราะสร้างโรงเรือน และตามมาตรา ๑๓๑๔ ก็บังคับถึงการปลูกต้นผลไม้คือลำใยในเรื่องนี้ด้วย เมื่อจำเลยไม่ได้บอกปัดไม่ยอมรับหรือเรียกให้โจทก์รื้อถอน จำเลยก็ต้องชดใช้ค่าสิ่งปลูกสร้างเพิ่มขึ้น จึงพิพากษาให้จำเลยชดใช้ค่าสิ่งปลูกสร้างคือค่าเรือนกับต้นลำใยแก่โจทก์รวม ๑๒,๐๐๐ บาท ค่าผลลำใยไม่บังคับให้เพราะถือว่าเป็นสิทธิขาดของจำเลย
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา ศาลฎีกาพิพากษายืน.