คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1111/2500

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ซื้อที่ดินบ้านเรือนจากลูกหนี้ตามคำพิพากษาโดยรู้ว่าศาลพิพากษาให้ใช้หนี้แล้วราคาที่ซื้อต่ำกว่าครึ่งและหักหนี้มิได้วางเงินกันเจ้าหนี้ตามคำพิพากษายึดเรือนบังคับคดีได้

ย่อยาว

คดีนี้จำเลยผู้เป็นภริยานายตั๋น เสาร์แก้ว ทำสัญญาประนีประนอมยอมความ ลงวันที่ 14 ตุลาคม 2498 ยอมใช้เงินกู้ให้โจทก์เป็นเงิน 10,100 บาท ตามที่โจทก์ฟ้องเรียก ภายใน 6 เดือน โดยนายตั๋นเสาร์แก้วรู้เห็นยินยอมและได้ลงลายมือชื่อในสัญญาประนีประนอมยอมความไว้ด้วย ศาลพิพากษาให้เป็นไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความแต่จำเลยไม่ใช้เงินให้ตามกำหนด โจทก์จึงนำยึดทรัพย์ของจำเลยเพื่อขายใช้หนี้

ผู้ร้องขัดทรัพย์จึงร้องขัดทรัพย์ว่า ที่ดินและบ้านเรือนตามบัญชียึดทรัพย์อันดับ 2, 3 ซึ่งมีราคา 8,000 บาท เป็นของผู้ร้องโดยชอบด้วยกฎหมาย เพราะผู้ร้องได้ซื้อมาจากนายตั๋นและจำเลยเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2499 โดยสุจริต มีค่าตอบแทน ตามสัญญาซื้อขายฉบับเลขที่ 31/2499 ผู้ร้องได้ครอบครองเป็นเจ้าของโดยสงบและเปิดเผยตลอดมาไม่มีผู้ใดเข้าเกี่ยวข้อง ที่ดินบ้านเรือนที่ผู้ร้องซื้อมานี้เป็นสินเดิมของนายตั๋น เสาร์แก้ว ขอให้ศาลสั่งปล่อยทรัพย์นี้

โจทก์คัดค้านว่า ทรัพย์ที่ยึดอันดับ 2 และ 3 เป็นของจำเลยและนายตั๋น สามีจำเลยได้นำมาวางเป็นประกันเงินกู้ดังที่โจทก์ฟ้องผู้ร้องกับจำเลยและนายตั๋นสมยอม ซื้อขายกันโดยไม่สุจริตเพื่อให้หลุดพ้นจากการถูกบังคับคดีไม่ให้โจทก์ได้รับชำระหนี้ตามคำพิพากษาของศาล ทำกลฉ้อฉลให้โจทก์เสียเปรียบ โดยซื้อขายกันภายหลังศาลพิพากษาคดีนี้แล้ว ภายในกำหนดระยะเวลาจะต้องใช้หนี้ให้โจทก์ตามคำพิพากษาทรัพย์รายนี้เป็นสินบริคณห์ นายตั๋น สามีจำเลยให้จำเลยเอาไปเป็นประกันการกู้เงินรายนี้ของโจทก์ ขอให้ยกคำร้อง

ศาลจังหวัดเชียงใหม่พิจารณาแล้ว ฟังข้อเท็จจริงว่า ทรัพย์รายพิพาทเป็นสินสมรสระหว่างนายตั๋นและจำเลย นายตั๋นยอมให้จำเลยนำไปประกันเงินกู้ของโจทก์ ในระหว่างที่นายตั๋นต้องโทษอยู่ในเรือนจำกู้เอามาเพื่อใช้จ่ายร่วมกัน เป็นหนี้ร่วมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1482 ข้อเท็จจริงไม่น่าเชื่อว่าผู้ร้องไม่ทราบเรื่องที่จำเลยถูกโจทก์ฟ้อง และผู้ร้องซื้อทรัพย์นี้ไว้ภายหลังจำเลยยอมความ 4 เดือนเศษ เชื่อว่าการซื้อขายระหว่างผู้ร้องกับนายตั๋นเป็นไปโดยสมยอมเพื่อให้ทรัพย์นี้พ้นจากการถูกบังคับคดีของศาลโดยไม่สุจริต จึงสั่งให้ยกคำร้องขัดทรัพย์ของผู้ร้องเสีย

ผู้ร้องขัดทรัพย์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้ว พิพากษายืน

ผู้ร้องฎีกาต่อมา

ศาลฎีกาได้ประชุมปรึกษาแล้ว คดีนี้มีประเด็นข้อโต้เถียงกันว่าทรัพย์รายพิพาทที่โจทก์ยึดไว้เป็นของผู้ร้องขัดทรัพย์ โดยเป็นสินเดิมของนายตั๋น สามีจำเลย และนายตั๋น สามีจำเลยได้โอนขายให้แก่ผู้ร้องโดยสุจริตมีค่าตอบแทนหรือว่า เป็นทรัพย์ของจำเลยและนายตั๋น สามีจำเลยอันเป็นสินสมรส ซึ่งจำเลยได้นำมาวางเป็นประกันเงินกู้ของโจทก์ไป และการโอนซื้อขายระหว่างผู้ร้องกับนายตั๋นสามีจำเลยโดยทางสมยอมกันไม่สุจริต เพื่อให้หลุดพ้นจากการบังคับคดีของศาล ทำให้โจทก์เสียเปรียบดังข้อต่อสู้ของโจทก์

ข้อเท็จจริงที่ได้ความตามทางพิจารณาฟังได้ว่า ทรัพย์รายพิพาทเป็นสินสมรสระหว่างนายตั๋น สามีจำเลยกับจำเลย จำเลยได้นำทรัพย์รายพิพาทมาวางเป็นประกันในการกู้เงินโจทก์ไปดังที่โจทก์ฟ้องโดยนายตั๋น สามีจำเลยยินยอมอนุญาต เพราะขณะนั้นนายตั๋น สามีจำเลยกำลังต้องโทษอยู่ และเมื่อโจทก์ฟ้องเรียกเงินกู้จากจำเลยเมื่อจำเลยจะประนีประนอมยอมความกับโจทก์ในคดีนี้ นายตั๋น สามีจำเลยก็รู้เห็นยินยอมและได้ลงลายมือชื่อไว้ในรายงานพิจารณาของศาลและในสัญญาประนีประนอมยอมความด้วย ทั้งการซื้อขายระหว่างนายตั๋นสามีจำเลยกับผู้ร้องก็อยู่ในกำหนดเวลา ซึ่งจำเลยจะต้องชำระหนี้ให้แก่โจทก์ตามยอมความ และทั้งข้อเท็จจริงที่ฟังได้ตามทางพิจารณาว่าผู้ร้องก็ทราบว่าจำเลยเป็นลูกหนี้โจทก์ จนถึงถูกฟ้องและยอมความต่อศาลยอมใช้หนี้ให้โจทก์ ผู้ร้องกับจำเลยชอบพอไปมาหาสู่บ้านอยู่ใกล้เคียงกัน ทั้งราคาที่ซื้อขายกันเพียง 9,000 บาท ถูกกว่าราคาซื้อขายกันตามปกติถึงครึ่งหนึ่งและเป็นการซื้อขายโดยหักหนี้ มิได้วางเงินกัน อันส่อแสดงให้เห็นว่าทั้งผู้ร้องและนายตั๋น สามีจำเลยรู้ดีว่า การโอนซื้อขายกันเป็นไปโดยทางสมยอม ทำให้โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้เสียเปรียบใช้ไม่ได้ ศาลทั้งสองพิพากษาให้ยกคำร้องขัดทรัพย์ของผู้ร้องชอบแล้ว ฎีกาของผู้ร้องขัดทรัพย์ฟังไม่ขึ้น

จึงพิพากษายืน ให้ยกฎีกาของผู้ร้องขัดทรัพย์เสีย ให้ผู้ร้องขัดทรัพย์ใช้ค่าทนายในชั้นฎีกาแทนโจทก์เป็นเงิน 150 บาท

Share