คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4387/2531

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ในความผิดฐานเจ้าพนักงานยักยอก ฟ้องโจทก์ได้ระบุวันเวลาและยอดเงินที่รับไว้ และจำนวนเงินที่จำเลยเบียดบังเอาไปเป็นประโยชน์ส่วนตัวโดยทุจริตแม้ไม่ได้ระบุชื่อผู้ที่นำเงินมาชำระให้ในฟ้องก็เป็นการเพียงพอทำให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี ไม่ทำให้หลงผิดในข้อต่อสู้ ไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นเจ้าพนักงานมีอำนาจหน้าที่เก็บรักษาเงินภาษีบำรุงท้องที่ เงินรายได้จังหวัด และทำบัญชีนำส่งหมวดการคลังอำเภอ องค์การบริหารส่วนจังหวัด จำเลยได้บังอาจเบียดบังเอาเงินดังกล่าวซึ่งอยู่ในความครอบครองดูแลรักษาของจำเลยไปเป็นประโยชน์ของจำเลยโดยทุจริตรวม 28 กระทง ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147, 157, 91
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 147 เรียงกระทงลงโทษจำคุกกระทงละ 5 ปี จำเลยเป็นผู้มีความประพฤติดีไม่เคยกระทำความผิดมาก่อนและได้นำเงินส่วนที่ขาดชดใช้ให้ผู้เสียหายทันที มีเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุกกระทงละ 3 ปี 4 เดือนจำเลยกระทำความผิด 28 กระทง เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้วให้จำคุกจำเลยไว้มีกำหนด 50 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษจำเลยในความผิดกระทงที่ 9และที่ 23 สองกระทง รวมโทษจำคุก 6 ปี 8 เดือน ความผิดกระทงที่เหลือให้ยกฟ้องนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “สำหรับปัญหาว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่นั้นเห็นว่า ฟ้องโจทก์ได้ระบุวันเวลาและยอดเงินที่รับไว้และจำนวนเงินที่จำเลยเบียดบังเอาไปเป็นประโยชน์ส่วนตัวโดยทุจริต ซึ่งแม้ไม่ได้ระบุชื่อผู้ที่นำเงินมาชำระให้ในฟ้องก็เป็นการเพียงพอทำให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี ไม่ทำให้หลงผิดในข้อต่อสู้ ไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม”
พิพากษายืน

Share