คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 13552/2558

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

บุคคลที่มีข้อพิพาทซึ่งอาจใช้สิทธิทางศาลต่อกัน อาจตกลงระงับข้อพิพาทดังกล่าวได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 850 ด้วยการทำสัญญาประนีประนอมยอมความ อันมีผลทำให้หนี้เดิมระงับตามมาตรา 852 แล้วผูกพันกันตามที่ได้ตกลงกันไว้ในสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าว แต่บันทึกข้อตกลงระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ในข้อที่ 1 ระบุว่า “ส่วนเรื่องหย่าและสินสมรสนั้นจะได้ตกลงกันในภายหลัง” แล้วตกลงกันเพียงว่า จำเลยที่ 1 จะส่งค่าเลี้ยงดูให้โจทก์เดือนละ 20,000 บาท ทั้งๆ ที่ข้อพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยทั้งสองเกิดจากจำเลยที่ 1 มีความสัมพันธ์กับจำเลยที่ 2 จนมีบุตร ทั้งจำเลยทั้งสองอยู่กินด้วยกัน อันเป็นการยกย่องหญิงอื่นฉันภริยาซึ่งมีผลให้โจทก์มีสิทธิฟ้องหย่าจำเลยที่ 1 ได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1516 และการหย่ายังทำให้โจทก์มีสิทธิเรียกค่าเลี้ยงชีพจากจำเลยที่ 1 ได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1526 นอกจากนี้การที่จำเลยทั้งสองมีความสัมพันธ์กันฉันชู้สาว ทำให้โจทก์เรียกค่าทดแทนได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1523 ข้อพิพาทที่ทำให้เกิดสิทธิแก่โจทก์ทั้งสามประการมิได้มีการตกลงเพื่อระงับกันให้เสร็จไปแต่อย่างใด บันทึกข้อตกลงระหว่างโจทก์และจำเลยที่ 1 ดังกล่าวจึงไม่เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ และตามพฤติการณ์ที่มีการระบุไว้ว่าจะมีการตกลงเรื่องหย่าและสินสมรสกันในภายหลังนั้นแสดงว่าโจทก์ไม่ได้ให้อภัยแก่จำเลยที่ 1 อันจะเป็นเหตุให้สิทธิฟ้องหย่า ระงับสิ้นไป การที่โจทก์นำคดีมาฟ้องเรียกร้องตามสิทธิที่โจทก์มีอยู่จึงชอบแล้ว จำเลยที่ 1 ไม่อาจอ้างบันทึกข้อตกลงดังกล่าว มาเป็นข้อต่อสู้ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาให้โจทก์กับจำเลยที่ 1 หย่าขาดจากกัน ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชำระค่าทดแทนแก่โจทก์ 500,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวนดังกล่าวนับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยที่ 1 ชำระค่าเลี้ยงชีพแก่โจทก์เดือนละ 20,000 บาท จนกว่าจำเลยที่ 1 จะเกษียณอายุราชการ
จำเลยที่ 1 ให้การขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์กับจำเลยที่ 1 หย่าขาดจากกัน ให้จำเลยที่ 1 จ่ายค่าเลี้ยงชีพแก่โจทก์เดือนละ 20,000 บาท นับแต่วันพิพากษาเป็นต้นไปจนกว่าโจทก์จะสมรสใหม่ แต่ทั้งนี้ไม่เกินกว่าจำเลยที่ 1 เกษียณอายุราชการ และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าทดแทนแก่โจทก์เป็นเงิน 500,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 16 สิงหาคม 2556) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ กับให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 8,000 บาท
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 จ่ายค่าเลี้ยงชีพแก่โจทก์เดือนละ 20,000 บาท นับแต่วันที่คำพิพากษาถึงที่สุดเป็นต้นไปจนกว่าโจทก์จะสมรสใหม่ แต่ทั้งนี้ไม่เกินกว่าจำเลยที่ 1 เกษียณอายุราชการ และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าทดแทนแก่โจทก์เป็นเงิน 250,000 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2523 โจทก์และจำเลยที่ 1 จดทะเบียนสมรสและอยู่กินกันแต่ไม่มีบุตรด้วยกัน ต่อมาในปี 2555 โจทก์ทราบว่าจำเลยทั้งสองมีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวและมีบุตรด้วยกัน 1 คน ตามแบบรับรองทะเบียนคนเกิด โจทก์และจำเลยที่ 1 ทำบันทึกข้อตกลงกันเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2555 ให้จำเลยที่ 1 ส่งค่าเลี้ยงดูให้โจทก์เดือนละ 20,000 บาท ทุกเดือนจนกว่าฝ่ายชายจะมีอายุครบ 60 ปี ระหว่างแยกกันอยู่ยังให้ถือว่า โจทก์และจำเลยที่ 1 เป็นสามีภริยา ถ้าจำเลยที่ 1 ไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงยอมให้โจทก์ฟ้องเรียกค่าเลี้ยงดูตามกฎหมายได้ ปรากฏตามบันทึกข้อตกลง ต่อมาโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีนี้
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ในข้อแรกว่า โจทก์มีสิทธิฟ้องหย่าและเรียกค่าทดแทนกับค่าเลี้ยงชีพได้หรือไม่ โดยจำเลยที่ 1 ฎีกาว่า โจทก์และจำเลยที่ 1 ได้ทำบันทึกข้อตกลงต่อกันไว้ เมื่อจำเลยที่ 1 ยังมิได้ผิดข้อตกลง โจทก์จึงยังไม่อาจฟ้องได้นั้น เมื่อโจทก์ฟ้องหย่าและเรียกค่าทดแทน ค่าเลี้ยงชีพจากจำเลยทั้งสองโดยอ้างสิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 ส่วนจำเลยที่ 1 อ้างว่าโจทก์ไม่อาจฟ้องได้เพราะมีบันทึกข้อตกลง กรณีจึงมีปัญหาพิจารณาว่า บันทึกข้อตกลงดังกล่าวมีผลทำให้สิทธิของโจทก์ที่มีตามกฎหมายดังกล่าวระงับหรือถูกลดทอนลงเพราะบันทึกข้อตกลงหรือไม่ เห็นว่า เมื่อบุคคลมีข้อพิพาทที่อาจใช้สิทธิทางศาลต่อกัน อาจตกลงระงับข้อพิพาทดังกล่าวได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 850 ด้วยการทำสัญญาประนีประนอมยอมความ อันจะทำให้มีผลตามมาตรา 852 คือระงับหนี้เดิม แล้วผูกพันกันตามสิทธิที่ได้แสดงไว้ในสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวโดยมาตรา 850 บัญญัติว่า “อันว่าประนีประนอมยอมความนั้น คือสัญญาซึ่งผู้เป็นคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายระงับข้อพิพาทอันใดอันหนึ่งซึ่งมีอยู่หรือจะมีขึ้นให้เสร็จไปด้วยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กัน” แต่บันทึกข้อตกลง หาได้มีข้อตกลงใดที่แสดงให้เห็นว่ามุ่งระงับข้อพิพาทที่มีอยู่ให้ระงับไม่ โดยในข้อตกลงข้อ 1 ระบุว่า “ส่วนเรื่องหย่าและสินสมรสนั้นจะได้ตกลงกันในภายหลัง” แล้วตกลงกันเพียงว่าจำเลยที่ 1 จะส่งค่าเลี้ยงดูให้โจทก์เดือนละ 20,000 บาท ทั้งที่ข้อพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยทั้งสองที่เกิดจากฝ่ายจำเลยที่ 1 มีความสัมพันธ์กับจำเลยที่ 2 จนมีบุตรและจำเลยทั้งสองอยู่กินด้วยกัน อันเป็นการยกย่องหญิงอื่นฉันภริยา ทำให้เกิดข้อพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยทั้งสอง โดยโจทก์มีสิทธิฟ้องหย่าจำเลยที่ 1 ได้ตามมาตรา 1516 และการหย่ายังทำให้โจทก์มีสิทธิเรียกค่าเลี้ยงชีพจากจำเลยที่ 1 ได้ตามมาตรา 1526 นอกจากนี้การที่จำเลยทั้งสองมีความสัมพันธ์กันทางชู้สาว ทำให้โจทก์เรียกค่าทดแทนได้ตามมาตรา 1523 ข้อพิพาทที่ทำให้เกิดสิทธิแก่โจทก์ทั้งสามประการมิได้มีการตกลงเพื่อระงับกันให้เสร็จไปแต่อย่างใดเพราะโจทก์กับจำเลยที่ 1 ระบุในบันทึกตกลงว่า “ส่วนเรื่องหย่าและสินสมรสนั้นจะได้ตกลงกันในภายหลัง” ทั้งเป็นการตกลงระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 โดยมิได้มีข้อความใดกล่าวถึงการระงับข้อพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยทั้งสองในเรื่องค่าทดแทน ข้อความตามบันทึกข้อตกลง จึงยังไม่เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความและตามพฤติการณ์ที่มีการระบุไว้ว่าจะมีการตกลงเรื่องหย่าและสินสมรสกันในภายหลังนั้นยังแสดงว่าโจทก์ไม่ได้ให้อภัยจำเลยที่ 1 อันจะเป็นเหตุให้สิทธิฟ้องหย่าหมดไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1518 แต่อย่างใด สิทธิที่โจทก์มีอยู่หาระงับสิ้นไป การที่โจทก์นำคดีมาฟ้องเรียกร้องตามสิทธิที่โจทก์มีอยู่จึงชอบแล้ว จำเลยที่ 1 ไม่อาจอ้างบันทึกตกลง มาเป็นข้อต่อสู้ได้ ฎีกาของจำเลยที่ 1 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share