คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1354/2530

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การที่จำเลยที่ 1 ไปขอกู้ยืมเงินจากบุคคลภายนอกแต่บุคคลภายนอกไม่เชื่อถือฐานะของจำเลยที่ 1 โดยจะให้กู้เฉพาะ บริษัทเงินทุนหรือบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์เท่านั้น จำเลยที่ 1 จึงขอร้องให้โจทก์ไปทำการกู้เงินจากบุคคลภายนอกมาให้จำเลยที่ 1 กู้อีกทอดหนึ่ง โดยจำเลยที่ 1 ได้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินให้โจทก์ยึดถือไว้นั้นตั๋วสัญญาใช้เงินที่จำเลยที่ 1 ออกให้โจทก์ดังกล่าวหาใช่เป็นการออกด้วยการแสดงเจตนาลวงตาม ป.พ.พ. มาตรา 118 วรรคหนึ่งแต่อย่างใดไม่ แต่เป็นการออกตั๋วสัญญาใช้เงินเพื่อชำระหนี้เงินกู้ยืมที่จำเลยที่ 1 กู้ไปจากโจทก์ จำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดชำระเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินแก่โจทก์ จำเลยที่ 1 หาได้มีนิติสัมพันธ์ใด ๆ กับบุคคลภายนอกในหนี้ดังกล่าวไม่.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงิน 4,329,863 บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 17.5 ต่อปีของต้นเงิน 4,000,000 บาทนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสามให้การความว่า จำเลยที่ 1 ได้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินให้โจทก์จริงแต่เป็นการแสดงเจตนาลวงโดยสมรู้กับโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 118 โจทก์จะนำตั๋วสัญญาใช้เงินนั้นมาฟ้องจำเลยที่ 1 ไม่ได้เพราะเป็นโมฆะจำเลยที่ 2 ที่ 3ลงชื่อในตั๋วสัญญาใช้เงินตามฟ้องในฐานะกรรมการของจำเลยที่ 2ที่ 3 ไม่ต้องรับผิดเป็นส่วนตัว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นเห็นว่า จากคำฟ้องและคำให้การคดีพอวินิจฉัยได้โดยไม่ต้องสืบพยาน จึงให้งดสืบพยานทั้งสองฝ่ายแล้วพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน 4,3299863 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ17.5 ต่อปีของต้นเงิน 4,000,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์ และให้ดดจำเลยที่ 1 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมค่าทนายความ 5,000 บาทแทนโจทก์ ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2 ที่ 3
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นดำเนินการสืบพยานโจทก์และจำเลยที่ 1 ต่อไป เสร็จแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ส่วนค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อพิพากษาใหม่ คืนค่าขึ้นศาล 108,207.50 บาท ให้จำเลยที่ 1
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า “จำเลยที่ 1 ไปขายยืมเงินบริษัทเงินทุนไทยเซฟวิ่งก์ทรัสต์ จำกัด โดยจำเลยที่ 1 จะออกตั๋วสัญญาใช้เงินชำระหนี้ไว้ให้บริษัทเงินทุนไทยเซฟวิ่งก์ทรัสต์จำกัด ไม่ให้ยืมเพราะไม่เชื่อถือตั๋วสัญญาใช้เงินของจำเลยที่ 1 และบอกด้วยว่า บริษัทเงินทุนไทยเซฟวิ่งก์ทรัสต์ จำกัด จะรับเฉพาะตั๋วสัญญาใช้เงินของบริษัทเงินทุนหรือบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์เท่านั้น จำเลยที่ 1 จึงบอกข้อขัดข้องดังกล่าวให้โจทก์ทราบ โจทก์จึงออกตั๋วสัญญาใช้เงินสั่งจ่ายเงินจำนวนเท่าที่จำเลยที่ 1 ขอยืมให้บริษัทเงินทุนไทยเซฟวิ่งก์ทรัสต์ จำกัด โดยบริษัทเงินทุนไทยเซฟวิ่งก์ทรัสต์ จำกัด จ่ายเงินเท่าจำนวนสั่งจ่ายตามตั๋วสัญญาใช้เงินให้โจทก์แล้วโจทก์นำเงินจำนวนนี้มาให้จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 1 ออกตั๋สัญญาใช้เงินสั่งจ่ายเท่าจำนวนเงินที่เอาไปจากโจทก์ให้โจทก์ไว้ เห็นว่าข้อเท็จจริงที่ได้จากคำให้การดังกล่าวเป็นเรื่องที่โจทก์ยืมเงินจากบริษัทเงินทุนไทยเซฟวิ่งก์ทรัสต์จำกัด มาให้จำเลยที่ 1 ยืมอีกต่อหนึ่ง โดยจำเลยที่ 1 ไม่มีนิติสัมพันธ์ใด ๆ กับบริษัทเงินทุนไทยเซฟวิ่งก์ทรัสต์ จำกัด เลยตั๋วสัญญาใช้เงินตามฟ้องจำเลยที่ 1 ไม่ได้ออกให้โจทก์ไว้เพื่อทำให้ผู้ใดหลงผิดอันเป็นการแสดงเจตนาลวงแต่ประการใด แต่เป็นการออกตั๋วสัญญาใช้เงินเพื่อชำระหนี้เงินยืมเมื่อโจทก์ทวงถามซึ่งโจทก์อาจจะทวงถามให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินเมื่อบริษัทเงินทุนไทยเซฟวิ่งก์ทรัสต์ จำกัดทวงถามให้โจทก์ชำระเงินที่โจทก์กู้ไป เพื่อโจทก์จะได้นำเงินไปชำระหนี้ให้บริษัทเงินทุนไทยเซฟวิ่งก์ทรัสต์ จำกัด ก็ได้ดังนั้นเมื่อโจทก์ได้ทวงถามให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินพร้อมดอกเบี้ยแล้ว จำเลยที่ 1 ต้องชำระให้ตามฟ้องฎีกาโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษากลับให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้จำเลยที่ 1ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 10,000 บาท”.

Share