แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ไม่มีบทกฎหมายใดห้ามมิให้รับฟังคำเบิกความของพยานที่เป็นญาติกันหากศาลเห็นว่าพยานเช่นว่านั้นเป็นผู้รู้เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและชอบด้วยเหตุผลพอให้รับฟังได้ว่าเป็นความจริงศาลก็มีอำนาจรับฟังคำเบิกความของพยานดังกล่าวนั้นได้ ข้อแตกต่างในข้อสาระสำคัญตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา192วรรคสองหมายถึงแตกต่างในข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการกระทำความผิดหาใช่แตกต่างเพียงรายละเอียดที่จะต้องกล่าวในฟ้องไม่สำหรับข้อเท็จจริงในเรื่องทำร้ายร่างกายก็คือการทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจของผู้อื่นดังนั้นที่โจทก์กล่าวในฟ้องว่าจำเลยที่4ใช้ไม้ตีโจทก์ทั้งสองแต่ทางพิจารณาโจทก์นำสืบได้ความว่าจำเลยที่4ใช้เหล็กแป๊บตีโจทก์ทั้งสองผลก็คือโจทก์ทั้งสองได้รับอันตรายแก่กายจากการกระทำของจำเลยที่4จึงเป็นการแตกต่างกันมิใช่ข้อสาระสำคัญทั้งจำเลยที่4ให้การต่อสู้อ้างฐานที่อยู่และมิได้หลงข้อต่อสู้แต่ประการใดจึงลงโทษจำเลยที่4ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสี่ร่วมกันใช้อาวุธฟัน ตี โจทก์ทั้งสองโดยจำเลยที่ 3 ใช้ขวานฟันโจทก์ทั้งสอง จำเลยที่ 4 ใช้ไม้ตีโจทก์ทั้งสอง จำเลยที่ 1 จับโจทก์ที่ 2 ไว้ และจำเลยที่ 2ได้บอกจำเลยอื่นให้ฟันและตีโจทก์ทั้งสองให้ตาย ทั้งนี้โดยจำเลยทั้งสี่มีเจตนาฆ่าโจทก์ทั้งสอง แต่โจทก์ทั้งสองปัดป้องถอยหนีได้ทันจึงไม่ถึงแก่ความตายเพียงแต่เป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัสขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80, 83, 288
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วมีคำสั่งว่า คดีโจทก์มีมูลในข้อหาความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80, 83, 288 เฉพาะจำเลยที่ 1และที่ 4 ส่วนจำเลยที่ 2 และที่ 3 ศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งได้ฟ้องแล้ว ตามคดีหมายเลขแดงที่ 1022/2534 ของศาลชั้นต้น สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ทั้งสองในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 2 และที่ 3 จึงเป็นอันระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(4) ฟ้องโจทก์ทั้งสองในส่วนของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้ยกเสีย
จำเลยที่ 1 หลบหนี อยู่ระหว่างออกหมายจับ ศาลชั้นต้นสั่งจำหน่ายคดีชั่วคราวสำหรับจำเลยที่ 1
จำเลยที่ 4 ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 4 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83, 297(8) ลงโทษจำคุก 2 ปี ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยที่ 4 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยที่ 4 ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้น อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มูลเหตุคดีนี้สืบเนื่องมาจากก่อนเกิดเหตุเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2532 ทั้งสองฝ่ายมีเรื่องทะเลาะวิวาทกันจนกระทั่งพนักงานสอบสวนได้เปรียบเทียบปรับทั้งสองฝ่ายแล้วฝ่ายจำเลยกล่าวอาฆาตฝ่ายโจทก์จนถึงขนาดมีการแจ้งความไว้เป็นหลักฐานตามรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีเอกสารหมาย จ.1 ต่อมาวันรุ่งขึ้นจึงเกิดเหตุคดีนี้ ขณะเกิดเหตุเป็นเวลากลางวันโจทก์ทั้งสองและพยานโจทก์ต่างรู้จักจำเลยที่ 4 มาก่อน ค้าขายอยู่บริเวณเดียวกันมีเรื่องบาดหมางกันมาก่อนภายหลังเกิดเหตุเพียงเล็กน้อย เมื่อโจทก์ที่ 1 นำความไปแจ้งต่อพันตำรวจโทกิจ พงศ์ทิพย์มนัสพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอหาดใหญ่ ก็ระบุว่าจำเลยที่ 4ร่วมกระทำผิดโดยใช้ไม้ตีโจทก์ทั้งสอง ตามรายงานประจำวันธุรการเอกสารหมาย จ.3 (ป.จ.3) ทั้งแผนที่สังเขปแสดงสถานที่เกิดเหตุตามเอกสารหมาย ป.จ.1 ก็ระบุจุดที่จำเลยที่ 4 เดินเข้ามาในที่เกิดเหตุ ซึ่งโจทก์มีพันตำรวจโทกิจพนักงานสอบสวนมาเบิกความรับรองความข้อนี้แสดงให้เห็นว่าในวันเกิดเหตุจำเลยที่ 4 อยู่ในที่เกิดเหตุ ที่จำเลยที่ 4 กล่าวอ้างมาในฎีกาว่า โจทก์ไม่มีบุคคลอื่นมาเบิกความเป็นพยานคงมีแต่โจทก์ทั้งสองและนายชวัดซึ่งเป็นญาติกันจึงเป็นพิรุธและปรักปรำจำเลยที่ 4 นั้น เห็นว่าไม่มีบทกฎหมายใดห้ามมิให้รับฟังคำเบิกความของพยานที่เป็นญาติกันหากศาลเห็นว่าพยานเช่นว่านั้น เป็นผู้รู้เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและชอบด้วยเหตุผลพอให้รับฟังได้ว่าเป็นความจริง ศาลก็มีอำนาจรับฟังคำเบิกความของพยานดังกล่าวนั้นได้ สำหรับคดีนี้พยานโจทก์ต่างเบิกความลำดับเหตุการณ์ มีรายละเอียดสอดคล้องต้องกันชอบด้วยเหตุผลจึงมีน้ำหนักในการรับฟัง แม้จำเลยที่ 4 จะอ้างว่าจำเลยที่ 3ได้ให้การไว้ในชั้นสอบสวนว่า จำเลยที่ 3 เป็นผู้ทำร้ายโจทก์ทั้งสองแต่เพียงผู้เดียวก็เป็นการกล่าวอ้างที่เลื่อนลอยไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ ส่วนข้อที่จำเลยที่ 4 อ้างมาในฎีกาว่าพยานโจทก์ทั้งสองเบิกความแตกต่างกันและขัดแย้งกับเอกสารเกี่ยวกับอาวุธที่จำเลยที่ 4 ใช้ทำร้ายโจทก์ทั้งสอง ส่วนของร่างกายที่โจทก์ทั้งสองได้รับจากการถูกทำร้าย ตลอดจนบาดแผลที่นายแพทย์ผู้ตรวจเบิกความซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยว่า เป็นข้อแตกต่างในพลความหรือรายละเอียด มิใช่ข้อแตกต่างในสาระสำคัญถึงขนาดจะทำให้คำวินิจฉัยเปลี่ยนแปลงไปเป็นการวินิจฉัยที่ไม่ชอบด้วยเหตุผลนั้น เห็นว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา192 วรรคสาม ซึ่งเป็นบทบัญญัติขยายคำว่า ข้อสาระสำคัญในวรรคสองของบทกฎหมายดังกล่าวให้เป็นที่เข้าใจว่า หากข้อแตกต่างเป็นข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการกระทำความผิดถือว่าแตกต่างในข้อสาระสำคัญแต่ถ้าแตกต่างกันเพียงรายละเอียดที่จะต้องกล่าวในคำฟ้องให้ถือว่าแตกต่างกันมิใช่ข้อสาระสำคัญ สำหรับข้อเท็จจริงในเรื่องทำร้ายร่างกายนั้นก็คือ การทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจของผู้อื่นนั้น การที่โจทก์กล่าวอ้างในคำฟ้องว่าจำเลยที่ 4ใช้ไม้ตีแต่ทางพิจารณาโจทก์นำสืบได้ความว่าจำเลยที่ 4 ใช้เหล็กแป๊บ ตีโจทก์ทั้งสอง ผลก็คือโจทก์ทั้งสองได้รับอันตรายแก่กายจากการกระทำของจำเลยที่ 4 จึงเป็นการแตกต่างกันมิใช่ข้อสาระสำคัญทั้งจำเลยที่ 4 ให้การต่อสู้คดีอ้างฐานที่อยู่และมิได้หลงข้อต่อสู้แต่ประการใด ที่จำเลยที่ 4 กล่าวอ้างมาในฎีกาอีกว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 3วินิจฉัยว่า ในเรื่องเดียวกันนี้พนักงานอัยการโจทก์ได้ฟ้องจำเลยที่ 2 และที่ 3 ศาลชั้นต้นฟังว่า จำเลยที่ 4 ได้ร่วมกระทำความผิดโดยใช้เหล็กแป๊บ ตีทำร้ายโจทก์ทั้งสอง จำเลยที่ 4 มิได้นำสืบให้เห็นเป็นอย่างอื่น กรณีจึงฟังได้ว่า จำเลยที่ 4ได้ร่วมกระทำความผิด เป็นคำวินิจฉัยที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้นเห็นว่า แม้การพิจารณาและสืบพยานในคดีก่อน มิได้กระทำต่อหน้าจำเลยที่ 4 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 172และจำเลยที่ 4 มิได้ถูกฟ้องเป็นจำเลยในคดีดังกล่าวก็ตามแต่ข้อเท็จจริงดังกล่าวสามารถนำมารับฟังประกอบพยานหลักฐานอื่นของโจทก์ให้มีน้ำหนักมั่นคงยิ่งขึ้นได้ คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 3 หาขัดต่อกฎหมายและทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลงไปไม่ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาลงโทษจำเลยที่ 4 ในฐานความผิดดังกล่าวและไม่รอการลงโทษจำเลยที่ 4 เหมาะสมแก่รูปคดีแล้วไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะเปลี่ยนแปลง ฎีกาจำเลยที่ 4 ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน