คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 921/2496

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ปลูกเรือนลงในที่ดิน โดยรู้อยู่ก่อนแล้วว่าเป็นที่ดินของผู้อื่น ซึ่งให้ตนอาศัย ดังนี้ กรณีไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1310,1312 ฉะนั้นเมื่อเจ้าของที่ดินไม่ประสงค์จะให้ผู้นั้นอยู่ในที่ดินของเขา ต่อไป ก็จะอ้างมาตรา 1310 หรือ 1312 มายันเจ้าของที่ดินไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า ที่ดินโฉนดพิพาทเดิมเป็นของบิดามารดาโจทก์จำเลย บิดามารดาให้จำเลยอาศัยปลูกโรงเรือนในที่ดินแปลงนี้1 ไร่เศษ ต่อมาบิดาวายชนม์ ที่ดินนี้ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของมารดา ๆ ได้โอนขายกรรมสิทธิ์แก่โจทก์ ๆ คงให้จำเลยอาศัยต่อมาบัดนี้ไม่ต้องการให้อาศัย จึงขอให้ขับไล่

จำเลยต่อสู้ว่า บิดามารดายกที่พิพาทให้จำเลย ๆ ครอบครองมาเกิน 10 ปี ย่อมได้กรรมสิทธิ์อย่างไรก็ดี จำเลยย่อมมีสิทธิอยู่ได้จนกว่าเรือนจะสลายลงไป ฯลฯ

ศาลชั้นต้นฟังว่า จำเลยอาศัยอยู่ในที่พิพาทจึงพิพากษาขับไล่จำเลย

จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาตรวจสำนวนแล้ว ข้อกฎหมายที่จำเลยคัดค้านมีว่า การที่จำเลยปลูกเรือนลงในที่พิพาทโดยสุจริต และได้อยู่มานานแล้วจำเลยจักมีสิทธิอยู่ต่อไปจนกว่าเรือนนั้นจะสลายไปตามความในมาตรา 1310 และ1312 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าศาลทั้งสองฟังข้อเท็จจริงต้องกันว่า จำเลยได้ปลูกเรือนในที่พิพาทโดยรู้อยู่ก่อนแล้วว่า เป็นที่ดินของผู้อื่นซึ่งให้จำเลยอาศัย กรณีไม่ต้องด้วยบทกฎหมายที่จำเลยอ้าง จำเลยย่อมไม่มีสิทธิจะอยู่ในที่พิพาท ฯลฯ

จึงพิพากษายืน

Share