แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
มีคนเอาปืนยิงมารดาของเพื่อน จึงจะเข้าจับคนร้าย แต่คนร้ายกลับชักมีดทำร้ายผู้จับ ผู้จับจึงกอดปล้ำต่อสู้ เมื่อแย่งมีดได้ก็แทงผู้ร้ายไป 1 ที ผู้ร้ายล้มลงก็เอาเชือกมัด ดังนี้แม้ผู้+จะถึงตายก็ถือได้ว่ากระทำการจับกุมผู้ร้ายและป้องกันตนพอสมควรแก่เหตุ ได้รับการยกเว้นโทษตาม ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา 50
ย่อยาว
คดีนี้ โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลย ฐานฆ่าคนตายโดยเจตนาตาม ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา ๒๔๙
จำเลยภาคเสธ ว่าป้องกันตัว
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยตาม ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา ๒๔๙,๕๓ วางโทษจำคุก ๓ ปี ลดตามมาตรา ๕๙ อีก ๑ ใน ๓ คงจำคุก ๒ ปี ริบมีดของกลาง
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนแล้ว ได้ความว่าตอนเที่ยงคือ นายบุญธรรมผู้ตายขึ้นไปบนเรือนนางฟอง พูดเอะอะขอสุรากิน นางฟองได้พูดให้ไปเสียเถอะ จะนอนแล้ว ผู้ตายกลับชักปืนสั้นออกมายิงนางฟอง ๑ นัด ถูกเหนือตาตุ่ม จำเลยร้องว่า “ยิงแม่กูแล้ว หนีไม่ได้” ผู้ตายว่า “มึงมีสิทธิอะไรไม่ให้กูหนี ” พูดแล้วทิ้งปืนลงใต้ถุนเรือน หยิบมีดมากำตรงเข้าจะทำร้ายจำเลย ๆ เข้ากอดปล้ำ สู้กันที่ชานเรือนนานสัก ๕ ชั่วอึดใจ จำเลยแย่งมีดได้แล้วแทงไป ๑ ที ถูกรักแร้ขวา ผู้ตายล้มลง จำเลยนำเชือกมาผูกข้อมือและขาผู้ตายติดกัน แล้วให้คนไปตามผู้ใหญ่บ้านมาจับ แต่นายบุญธรรมขาดใจตายเสียก่อน
จำเลยเป็นเพื่อนกับนายอ่ำบุตรนางฟอง นับถือนางฟองอย่างมารดา
ศาลฎีกาเห็นว่า อาการที่จำเลยกระทำไปนั้น แสดงว่ามีเจตนาจะจับกุมผู้ตาย จะตำหนิจำเลยว่า แย่งมีดได้แล้วไม่ควรแทง หาได้ไม่ เพราะขณะนั้นกำลังต่อสู้กัน ใครได้ทีก็ต้องทำเพื่อให้อีกฝ่ายหนึ่งแพ้ ถ้าจำเลยไม่แทง ผู้ตายอาจแย่งมีดกลับคืนไปก็ได้ จึงเห็นว่า จำเลยกระทำการจับกุมผู้ร้าย และป้องกันตนพอสมควรแก่เหตุ
จึงพิพากษายืน