คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1347/2549

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

พวกจำเลยคนหนึ่งขับรถจักรยานยนต์แซงรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหาย จำเลยซึ่งนั่งซ้อนท้ายกระชากสร้อยคอทองคำและพระเลี่ยมทองของผู้เสียหาย แม้จำเลยไม่ได้ขู่เข็ญว่าในทันใดนั้นจะใช้กำลังประทุษร้าย หรือได้ใช้กำลังประทุษร้ายผู้เสียหาย แต่หลังจากกระชากสร้อยคอแล้วจำเลยกับพวกขับจักรยานยนต์หลบหนี ผู้เสียหายกับพวกติดตามไปทันทีจนพบและจะเข้าจับจำเลย จำเลยใช้ขวดตีผู้เสียหาย การกระทำของจำเลยดังกล่าวยังต่อเนื่องและเกี่ยวพันกันโดยตลอดและยังไม่ขาดตอนจากการวิ่งราวทรัพย์ ถือว่าจำเลยมีเจตนาใช้กำลังประทุษร้ายผู้เสียหายเพื่อให้พ้นจากการจับกุม จึงเป็นความผิดฐานร่วมกับพวกสองคนชิงทรัพย์ในเวลากลางคืนโดยมีอาวุธ และโดยใช้ยานพาหนะในการกระทำความผิด พาทรัพย์นั้นไป และเพื่อให้พ้นจากการจับกุม ตาม ป.อ. มาตรา 339 วรรคสอง ประกอบมาตรา 83,340 ตรี

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2546 เวลากลางคืนหลังเที่ยง จำเลยกับพวกซึ่งยังจับตัวไม่ได้ร่วมกันชิงทรัพย์เอาสร้อยคอทองคำ 1 เส้น ราคา 7,500 บาท และรูปหล่อเจ้าแม่กวนอิมเลี่ยมทอง 1 องค์ ราคา 1,000 บาท ของนายสัญชัย พัฒนธนาวิสุทธิ์ ผู้เสียหาย และจำเลยกับพวกได้ใช้รถจักรยานยนต์เป็นพาหนะ เพื่อให้ความสะดวกแก่การพาทรัพย์นั้นไป ยึดถือเอาทรัพย์นั้นไว้ และเพื่อให้พ้นจากการจับกุม ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 334, 335, 336, 339, 340 ตรี
จำเลยให้การสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 339 วรรคแรก ประกอบมาตรา 340 ตรี จำคุก 9 ปีจำเลยให้การรับสารภาพตลอดมาตั้งแต่ชั้นจับกุม ชั้นสอบสวนและชั้นพิจารณาเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 7 ปี 6 เดือน
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 วรรคสองประกอบด้วยมาตรา 83, 340 ตรี ให้จำคุก 15 ปี ลดโทษให้ตามมาตรา 78 กึ่งหนึ่งแล้ว คงจำคุก 7 ปี 6 เดือน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยว่า จำเลยกระทำผิดฐานชิงทรัพย์หรือไม่ จำเลยฎีกาว่าการกระทำของจำเลยถือเป็นความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์เท่านั้น ในการวินิจฉัยข้อกฎหมายดังกล่าวศาลฎีกาจะต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 222 โดยศาลอุทธรณ์ภาค 7 ฟังข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่าเมื่อวันที่ 20กันยายน 2546 เวลากลางคืนหลังเที่ยงจำเลยกับพวกอีกหนึ่งคนซึ่งเป็นผู้ขับรถจักรยานยนต์แล่นแซงรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหาย จำเลยซึ่งนั่งซ้อนท้ายกระชากสร้อยคอทองคำและพระเลี่ยมทองของกลางของผู้เสียหาย แล้วจำเลยกับพวกขับรถจักรยานยนต์หลบหนี ผู้เสียหายติดต่อให้เพื่อชื่อนายวัชรพงษ์ ภู่แก้ว ขับจักรยานยนต์มารับผู้เสียหายแล้วติดตามไปจนทันจำเลยกับพวก ผู้เสียหายจะจับจำเลย จำเลยใช้ขวดตีผู้เสียหาย ผู้เสียหายใช้มือปัดและจับจำเลยได้ส่วนพวกจำเลยหลบหนีไป เห็นว่า แม้ขณะจำเลยกระชากสร้อยคอของผู้เสียหาย จำเลยไม่ได้ขู่เข็ญว่าในทันใดนั้นจะใช้กำลังประทุษร้าย หรือได้ใช้กำลังประทุษร้ายผู้เสียหาย แต่หลังจากจำเลยกระชากสร้อยคอผู้เสียหายแล้วจำเลยกับพวกขับจักรยานยนต์หลบหนี ผู้เสียหายกับพวกติดตามไปทันทีจนพบจำเลยและจะเข้าจับจำเลย จำเลยใช้ขวดตีผู้เสียหายการกระทำของจำเลยดังกล่าวยังต่อเนื่องและเกี่ยวพันกันโดยตลอด และยังไม่ขาดตอนจากการวิ่งราวทรัพย์ ถือว่าจำเลยมีเจตนาใช้กำลังประทุษร้ายผู้เสียหายเพื่อให้พ้นจากการจับกุมแล้ว การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานร่วมกับพวกสองคนชิงทรัพย์ในเวลากลางคืนโดยมีอาวุธ และโดยใช้ยานพาหนะในการกระทำความผิด พาทรัพย์นั้นไป และเพื่อให้พ้นจากการจับกุม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 วรรคสอง ประกอบมาตรา 83, 340 ตรี ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share